นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้ศึกษานโยบายของแต่ละพรรคการเมืองเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร พบว่า นโยบายของพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคที่นำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์พี่น้องเกษตรกรได้อย่างดีที่สุด โดยพรรคภูมิใจไทยมีการนำรูปแบบการแบ่งปันผลประโยชน์ที่อุตสาหกรรมชาวไร่อ้อยใช้มานานแล้ว มาปรับใช้กับผลผลิตทางการเกษตรชนิดอื่นก็จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรมากขึ้น ทั้งนี้ ระบบแบ่งปันผลประโยชน์จะเป็นการหารือร่วม 3 ฝ่าย เกษตรกร ผู้ส่งออก เจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลทราย ก็ทำมานานหลาย 10 ปี ไม่พบว่ามีปัญหาราคาจะขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก ถ้าจะดูที่พืชเศรษฐกิจที่สำคัญคือข้าวก็น่าจะทำได้ วิธีการก็คือ หลังฤดูการเก็บเกี่ยว ก็นำ เกษตรกร เจ้าของโรงสี และผู้ส่งออก มาหารือกันตกลงกันโดยมีภาครัฐเป็นตัวกลาง เพื่อกำหนดราคาข้าว การกำหนดโครงสร้างการแบ่งปันผลประโยชน์ที่แน่นอนขึ้นและทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์จากการกำหนดรูปแบบดังกล่าว
นายสังศิต กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาอาจจะมีนักวิชาการหลายคนออกมาปฎิเสธว่าทำไม่ได้ เพราะในอุตสาหกรรมข้าวกับอุตสาหรรมอ้อยและน้ำตาลต่างกันออกไป อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทำได้เพราะมีผู้ประกอบการจำนวนไม่มาก แต่ในอุตสาหกรรมข้าวต่างออกไปเพราะจำนวนผู้ประกอบการโรงสีข้าวมีเป็นจำนวนมาก และเกษตรกรชาวนามาก ตนอยากอธิบายว่า อยากให้ทุกฝ่ายได้มีการศึกษานโยบายว่าทำได้หรือไม่ หากทำได้น่าทดลองให้ทำเพราะหากประสบความสำเร็จก็จะส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรที่ทำนาได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ในการกำหนดราคาข้าวในรูปแบบดังกล่าวนั้น ควรที่จะนำราคาข้าวในตลาดโลกเป็นตัวกำหนดราคาข้าวในประเทศ แล้วหาจุดสมดุลเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย
นายสังศิต กล่าวด้วยว่า การแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรของพรรคภูมิใจไทย เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวและยั่งยืน ถือว่าเดินมาถูกทางเพราะเป็นการกำหนดนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาทางโครงสร้างราคาพืชผลทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แตเท่าที่ตนได้ศึกษาพบว่านโยบายที่ทุกพรรคกำหนดมามีประโยชน์หมดแต่หากนำมาประยุกต์รวมกันหรือนำมาบูรณาการในการกำหนดนโยบายจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด