นายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการประจำสถาบันพระปกเกล้า เปิดเผยถึงภาพรวมการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมาว่า พบว่ามีปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบัตรเลือกตั้งผิดเขต มีคนเอาบัตรเลือกตั้งไปกาทั้งเล่ม รวมไปถึงคนรอเลือกตั้งมีเป็นจำนวนมาก สถานที่ไม่พร้อมในการจัดการการเลือกตั้ง ปัญหาจาก กกต.ไม่มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ปัจจัยคือ กกต.ประเมินสถานการณ์ผิด เพราะจากจำนวนคนที่มาลงทะเบียนใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า 2.6 ล้านคน แต่กกต.ประเมินว่าน่าจะมาเพียงครึ่งเดียว ซึ่งเป็นการประเมินมาจากปีที่ผ่านมา สำคัญที่สุดคือ กกต.ไม่เคยถอดบทเรียนปัญหาการเลือกตั้ง จะมาอ้างว่าประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้งมานานมากคงไม่ไช่ประเด็น การเลือกตั้งที่มีบัตรเลือกตั้งแตกต่างกันแบบนี้ประเทศไทยก็เคยมีมาแล้ว นอกจากนี้งบประมาณการเลือกตั้งในปีนี้กว่า 5,800 ล้านบาท ถือเป็นการใช้งบประมาณที่สูงสุด กลับไม่สามารถที่จะจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย
“กรณีที่เจ้าหน้าที่แจกบัตรผิดเขต แล้วกลับบอกว่า กาๆไปเถอะ เป็นที่วิจารณ์อย่างมาก แม้ กกต.จะวินิจฉัยว่าเป็นบัตรเสีย แต่ส่วนตัวไม่คิดเช่นนั้น เพราะไม่เข้าองค์ประกอบของบัตรเสียเลย มันเป็นการกากบาทที่ถูกต้อง และเลือกพรรคที่ตนเองต้องการเลือก ทั้งนี้ ตนเห็นว่าควรเป็นบัตรดี เพราะปัญหาอยู่ที่การใส่บัตรเลือกตั้งไม่ตรงกับซองจดหมายเท่านั้น”
นายสติธร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในส่วนของการจัดการเลือกตั้งก็ยังพบว่ารายชื่อผู้สมัครบางพรรค บางคน หายจากระบบการเลือกตั้ง ซึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่ารายชื่อนางวัญเพ็ญ เศรษฐรักษา ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หมายเลข 14 เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดกาฬสินธุ์ พรรคภูมิใจไทย หายไปจากบัตรเลือกตั้งและหายไปจากบัญชี โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าผู้สมัครถูกตัดสิทธิ์ แต่ทางพรรคแจ้งว่าไม่เป็นความจริง ตรงนี้ต้องพิสูจน์ใช้ชัดว่าใครถูก ทั้งนี้ หากนางวัญเพ็ญ ไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์จริง ก็ถือเกิดเป็นความผิดพลาดของ กกต.ซึ่งในการแก้ปัญหา กกต.ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ในเขตดังกล่าว ท้ายที่สุด หากบรรยากาศการเลือกตั้งถูกกังขาว่า เป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม ประชาชนอาจไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งได้
นายสติธร กล่าวด้วยว่า กรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า รัฐบาลต้องตั้งมาจาก ส.ส. กล่าวคือ พรรคการเมืองต้องรวบรวมเสียงให้ได้จำนวน 376 เสียง เพื่อป้องกันไม่ให้ทาง ส.ว. เข้ามามีเอี่ยวในการตั้งนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ถือว่าเป็นการพูดไปตามหลักการ ทั้งนี้ หากไม่มีพรรคการเมืองไหนสามารถรวบรวมเสียงข้างมาก เชื่อว่าสุดท้ายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ก็ยังคงมีอำนาจในการนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการตั้งนายกฯคนใหม่หลังเลือกตั้ง ตามที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปได้กล่าวไว้