นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า ตามที่สำนักข่าวอิศราตรวจสอบและในสื่อต่างๆ รายงานตรงกันพบว่า เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 62 นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ กรรมการบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์หรือมีเดีย ทำหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร ส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นชุดใหม่ ลงวันที่ 21 มี.ค.62 โดยปรากฎนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา ได้โอนหุ้นที่ถือครองรวมกันรวม 900,000 หุ้น มูลค่า 9 ล้านบาทไปให้ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาทั้งหมดเพียง 3 วันก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.62 นี้นั้น
การที่นายธนาธรและภรรยา มีหุ้นอยู่ในธุรกิจสิ่งพิมพ์หรือสื่อมวลชนดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าอาจบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 98 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา 42(3) บัญญัติว่า “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ” ซึ่งศาลฎีกาเคยมีคำสั่งในลักษณะนี้ไว้แล้ว ตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 1144/2562 และ 1228/2562 ลงวันที่ 7 มี.ค.62
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำคำร้องพร้อมพยานหลักฐานไปร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัยและเสนอต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งจากผู้สมัคร สส.ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ และเพิกถอนรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคอนาคตใหม่ต่อไป
โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2562 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงาน กกต. ชั้น 1 ศูนย์ราชการฯ อาคาร B ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม.
เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยังเปิดเผยว่า กกต. ได้มีหนังสือเชิญไปให้ถ้อยคำ ในวันพุธที่ 27 มี.ค.62 นี้เวลา 10.00 น. กรณี Facebook ชื่อ “Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุข้อความในลักษณะเป็นการใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่า “รัฐจากส่วนกลางจับมือกับสื่อมวลชนบางกลุ่มผลิตสื่อเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้คนอีสานเป็นคนตลก ไม่มีความรู้…” หลังจากไปปราศรัยที่จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 16 ก.พ.62 ที่ผ่านมา
การกระทำดังกล่าวอันอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 มาตรา 73(5) ที่ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จ ซึ่งอาจมีโทษตาม ม.159 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนด 20 ปี
ซึ่งกรณีดังกล่าว กกต.ได้มีคำสั่งที่ 19/2562 แต่งตั้งเจ้าหนักงานและคณะกรรมการสืบสวน ไต่สวนและดำเนินคดี ตาม ม.42 ของ พรป.คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2560 แล้ว จึงได้มีหนังสือเชิญผู้ร้องไปให้ถ้อยคำพร้อมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อประกอบการทำคำวินิจฉัยเสนอ กกต. พิจารณาเพื่อส่งให้ศาลฎีกาพิจารณาและวินิจฉัยลงโทษต่อไป นายศรีสุวรรณกล่าวในสี่สุด