นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ปมปัญหาของพลเอกประยุทธ์ที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในวันสมัครรับเลือกตั้งในขณะที่เป็นหัวหน้าคสช. ซึ่งถือเป็น”เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” โดยหลักแล้ว กกต.ไม่ควรตอบรับให้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะขัดรัฐธรรมนูญ แต่ได้ปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงวันที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องของส.ส.ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
นางลดาวัลลิ์กล่าวว่า กรณีมีเหตุอันควรสงสัยในความเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐของหัวหน้าคสช.นั้น ที่ผ่านมามีหลายฝ่ายได้นำเสนอข้อเท็จจริงหลายประการมาแสดงต่อสังคมได้เห็นแล้ว อันเป็นการยืนยันความเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ เช่น การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาระบุว่า การที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่งหัวหน้าคสช.เรียกบุคคลให้มารายงานตัวภายหลังเกิดการรัฐประหาร แต่นายสมบัติไม่มา เมื่อถูกจับได้ในเวลาต่อมาถือเป็นความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฏหมายอาญา ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้จำคุก ประเด็นต่อมา ได้ประกาศคำสั่งหัวหน้าคสช.หลายฉบับ ระบุชัดแจ้งว่า คสช. ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินหลังจากการยึดอำนาจ นอกจากนี้ หัวหน้าคสช.และคสช.ยังได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน จากเงินภาษีประชาชน รวมทั้ง การออกคำสั่งหัวหน้าคสช.สั่งปิดเหมืองทองคำอัคราไมนิ่ง ก็ทำในนามเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยืนยันว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ เข้าลักษณะมีเหตุอันควรสงสัยได้แล้ว จึงควรต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไว้ก่อน
รักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การที่นายวิษณุ ให้ข่าวว่าไม่ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่เพราะเป็นการตีความสถานะไม่เกี่ยวกับการทุจริต เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการให้ความเห็นเพื่อประโยชน์ของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งขัดกับหลักกฎหมาย และข้อเท็จจริง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
“คำถามคือหากพลเอกประยุทธ์ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การออกคำสั่งปิดเหมืองทองอัคราไมนิ่ง พลเอกประยูทธ์ใช้อำนาจในสถานะใด เพราะหากไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐพลเอกประยูทธ์จะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายดังกล่าวเป็นการส่วนตัว แต่หากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐบาลต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับเหมืองทองอัคราไมนิ่ง ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน และกกต.ก็ไม่มีสิทธิ์เสนอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ต้น” นางลดาวัลลิ์กล่าว