วันที่ 8 กรกฎาคม 2562 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดีหุ้นวี-ลัคมีเดีย ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โดยในประเด็นแรก ได้พูดถึงกรณีที่มีเพจบางเพจและสำนักข่าวบางสำนัก แพร่ข่าวลือไปทั่วว่านายธนาธรที่มีกำหนดการจะเดินทางไปต่างประเทศในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วจะไม่กลับมาประเทศไทย โดยเรื่องนี้ขอชี้แจงว่า นายธนาธรออกเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัว ก่อนที่จะเดินทางไปทำภารกิจต่อที่เมืองบรัสเซล เบอร์ลิน ลอนดอน และประเทศสหรัฐอเมริกาต่อ โดยโปรแกรมทั้งหมดจะเป็นการพบปะกับนักการเมือง เจ้าหน้าที่สหภาพยุโรป เจ้าหน้าที่องค์กรสหประชาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชนต่างประเทศ และร่วมเสวนาวิชาการที่ London School of Economics เพื่อแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง การสืบทอดอำนาจของ คสช. และการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีการทำร้ายนักกิจกรรม ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศให้ความสนใจในประเด็นเหล่านี้ รวมทั้งคดีความของนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ ด้วย นอกจากนี้ นายธนาธรก็จะใช้โอกาสนี้ ศึกษาแนวทางการพัฒนาด้านต่างๆ ของประเทศเหล่านั้นกลับมาพัฒนาเป็นนโยบายด้วย
“ยืนยันว่านายธนาธรจะเดินทางกลับมาประเทศไทยอย่างแน่นอน ด้วยสถานะที่ยังคงเป็น ส.ส.อยู่ เพียงแต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว โดยในช่วงครึ่งเดือนหลัง นายธนาธรยังมีภารกิจจะต้องเดินทางไปหลายจังหวัดภาคอีสาน ข่าวลือต่างๆที่เต้าข่าวกันขึ้นมา ก็ควรจะยุติได้แล้ว พรรคอนาคตใหม่ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่มีความจำเป็นใดๆจะต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ คุณธนาธรยังมีภารกิจใหญ่ของประเทศไทยรออยู่ นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่อนาคตแบบใหม่ ให้ประเทศไทยดีขึ้น และจะกลับมาพิสูจน์ให้ได้ว่าวันหนึ่ง คุณธนาธรจะเป็นนายกจากมติมหาชนของประเทศไทย” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า ส่วนในเรื่องความคืบหน้าของคดี หลังจากที่ทีมกฎหมายได้ขอขยายระยะเวลาการยื่นเอกสารชี้แจงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญออกไป 30 วัน และต่ออีก 15 วัน มาจบในวันที่ 8 กรกฎาคมซึ่งก็คือวันนี้ โดยเมื่อช่วงบ่ายทางทีมกฎหมายของพรรคได้เดินทางไปยื่นเอกสารเรียบร้อยแล้ว โดยประกอบไปด้วยเอกสารคำชี้แจงประมาณ 70 หน้ากระดาษ รวมทั้งเอกสารประกอบคำชี้แจง 50 รายการ อีกประมาณ 200 หน้า และคำร้องขอให้ศาลนัดไต่สวนพยานและพิจารณาโดยเปิดเผย และขอให้ยกเลิกคำสั่งให้นายธนาธรยุติปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ในการนี้ เมื่อเทียบเคียงกับกรณีที่มีความใกล้เคียงกัน คือกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย เริ่มตั้งแต่มีคำร้องไปจนถึงวันที่ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาทั้งสิ้น 417 วัน แต่ต่คดีของนายธนาธรนับตั้งแต่มีคนมาร้องที่ กกต.จนส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 53 วัน โดยนายดอนได้ยื่นเอกสารชี้แจงวันสุดท้าย 7 สิงหาคม 2561 หลังจากนั้น 23 วัน ศาลจึงได้กำหนดวันนัดไต่สวนพยาน และมีการไต่สวนพยานในวันที่ 25 กันยายน และอ่านคำวินิจฉัยคดีในวันที่ 31 ตุลาคม 2561 ซึ่งถ้าเอาปฏิทินเช่นนี้มาเทียบเคียงกับกรณีของนายธนาธร หากศาลอนุญาตให้ไต่สวนพยานได้ ก็จะมีการออกวันที่นัดไต่สวนพยานในประมาณสิ้นเดือนกรกฎาคม และจะมีการนัดไต่สวนในประมาณสิ้นเดือนสิงหาคม และจะมีคำวินิจฉัยออกมาในประมาณสิ้นเดือนกันยายน
“ดังนั้นถ้าหากใช้มาตรฐานเทียบเคียงแบบเดียวกับนายดอน เป็นไปไม่ได้เลยที่คดีของนายธนาธรจะจบภายในวันสองวันหรือเร็วๆนี้ คดีของนายธนาธนจะต้องได้ไต่สวนพยานหลักฐาน และอ่านคำวินิจฉัยในช่วงปลายเดือนกันยายน สำหรับ ในเอกสารที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญไปนั้น นายธนาธรและทีมกฎหมายได้ต่อสู้คดีนี้ในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการไม่มีอำนาจในการพิจารณาของ กกต. กระบวนการพิจารณาที่ไม่ถูกต้องทางรูปแบบและขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญ โดยเฉพาะการไม่เคารพหลักการฟังความทุกฝ่าย และไม่มีการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้เข้าชี้แจงอย่างเพียงพอ ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่ไปสืบค้นมาได้ ว่ามีคำร้อง ส.ส.อยู่ที่ กกต.หลายร้อยราย แต่มีเพียงคดีของนายธนาธรเท่านั้น ที่ได้มีการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังมีการต่อสู้ในประเด็นสำคัญ ว่านายธนาธรไม่มีหุ้นในบริษัทวี-ลัคมีเดีย อีกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 มีเอกสารการโอนชัดเจน และในข้อกฎหมาย คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 ก็ยืนยันว่าผลการโอนให้ดูเมื่อมีการโอนเกิดขึ้นในใบรับโอน เพราะฉะนั้นทุกอย่างจบสิ้นเรียบร้อยแล้วในวันที่ 8 มกราคม ดังนั้นนายธนาธรจึงไม่มีการถือหุ้นในวันสมัครรับเลือกตั้ง โดยใช้ทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และแนวทางคำพิพากษาของศาล ทั้งศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญเอง ที่เคยนำ ป.พ.พ.มาตรา 1129 มาใช้ทั้งหมด” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า แต่หากจะมีการตีความว่านายธนาธรไม่ได้โอนหุ้นก่อนวันรับสมัครจริงๆ ก็มีหลักฐานที่จะยืนยันอีกว่าบริษัทวี-ลัคมีเดียไม่ได้ทำสื่อมาตั้งแต่ปลายปี 2561 แล้ว ตามสัญญาที่ทำกับสายการบินนกแอร์ รับจ้างการผลิตนิตรสารจิ๊บจิ๊บ นกแอร์เป็นผู้คุมเนื้อหาในนิตยสารทั้งหมด โดยบริษัทวี-ลัคมีเดียเป็นผู้รับจ้างพิมพ์อย่างเดียว ผลิตเนื้อหาตามที่นกแอร์สั่งมา ไม่ได้เป็นผู้ทำเนื้อหาเอง และเมื่อปลายปี 2561 ได้มีกระบวนการยกเลิกการจ้างพนักงานทั้งหมดเพื่อเตรียมปิดบริษัท โดยตามสัญญาที่ทำกับนกแอร์ก็ระบุไว้ว่านิตยสารฉบับสุดท้ายจะผลิตออกมาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 และยังมีหลักฐานสุดท้าย ก็คือการแจ้งไปที่สำนักงานประกันสังคมเพื่อแจ้งการเลิกกิจการในช่วงปลายเดือนมกราคม 2562 เพราะฉะนั้น กระบวนการเลิกกิจการจึงเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2561 แล้ว และสิ่งที่บริษัทวี-ลัคมีเดียทำ ก็เป็นแค่การรับจ้างพิมพ์ ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเนื้อหาเอง และไม่มีเนื้อหาการเมืองอะไรทั้งนั้น ดังนั้น หากจะตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองครอบงำสื่อ ก็ยิ่งใช้กับกรณีของนายธนาธรไม่ได้
ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการอ่านคำวินิจฉัยทันทีโดยไม่มีการไต่สวนพยาน นายปิยบุตรกล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีทั้งกรณีที่วินิจฉัยคดีโดยทันที โดยไม่เปิดให้มีการไต่สวนพยานก่อน และมีกรณีที่เปิดโอกาสให้มีการไต่สวนพยานบุคคลก่อนวินิจฉัยคดี ซึ่งหากนำมาเทียบเคียงกับกรณีของนายดอนที่มีความใกล้เคียงกันที่สุด ตนมีความเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการตามแนวทางเดียวกัน คือให้มีการไต่สวนก่อน ถามว่าคดีนี้ นายธนาธรมีความกังวลหรือไม่ ตอบว่า นายธนาธรมีความมั่นใจในการต่อสู้คดีและไม่มีความกังวลใจใดๆ แต่ถ้ามีการวินิจฉัยออกมาในทิศทางว่านายธนาธรขัดคุณสมบัติจริง ตนก็เชื่อว่าจากการที่ได้รู้จักนายธนาธรมา นายธนาธรเป็นมนุษย์แห่งการทลายข้อจำกัด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เป็นข้อจำกัดสำหรับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ การไม่ได้เป็น ส.ส.จะไม่เป็นอุปสรรคใดๆเลยในการเดินหน้าภารกิจของนายธนาธรเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ
นายปิยบุตรยังกล่าวอีกว่า ตนและทีมกฎหมายของพรรคมีความมั่นใจมากในการต่อสู้คดี เพราะทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และแนวทางคำพิพากษาของคดีมีความชัดเจนมาก ว่าต้องยึดมาตรา 1129 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตนยังคิดอยู่ว่าเมื่อจบคดีแล้วตนจะพิมพ์หนังสือออกมาสักเล่มหนึ่งเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิชานิติศาสตร์และเพื่อให้เห็นมาตรฐานของการดำเนินคดี ดังนั้น ตนจึงมีความมั่นใจมาก ดังนั้น ขอเรียนว่า ถ้าหากจะยอมกันถึงขนาดว่าจะไม่เอามาตรา 1129 มาใช้เฉพาะกรณีนี้กรณีเดียว นั่นหมายถึงคุณต้องการจับหนูตัวเดียว แล้วยอมทำลายระบบการโอนหุ้นในทางธุรกิจของประเทศนี้ไปหมดเลย เพราะฉะนั้น เรามั่นใจจริงๆ ถ้า ดูจากคดีเก่าๆที่ผ่านมา ดูจากแนวทางคำพิพากษา ดูข้อกฎหมาย ดูข้อเท็จจริงครบถ้วนทั้งหมด แต่อย่างที่ได้เรียนย้ำอยู่เสมอว่าความมั่นใจของเรา เราสู้เต็มที่ แต่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไร ว่ากันอีกที