ในการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.62 ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นครั้งที่ 2 เมื่อฝ่ายค้านสามารถชนะโหวตฝ่ายรัฐบาลด้วยคะแนน 234 ต่อ 223 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ภายใต้สภาวะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
ความพ่ายแพ้นี้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) พยายามอธิบายว่า “ไม่ใช่กฎหมายสำคัญของรัฐบาล” และไม่ใช่กฎหมายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ จึงไม่ถือเป็นความล้มเหลวของวิปรัฐบาล อีกทั้งมีสมาชิกหลายคนที่เดินมาลงมติไม่ทัน บางจุดก็ยังไม่ได้ยินเสียงการประชุมยังมีสมาชิกยังนั่งกินข้าว
แม้จะลงทุนซื้อวิทยุ “ทรานซิสเตอร์” วางตามจุดอับสัญญาณฟังประชุมสภาฯ ก็ตาม
ย้อนมาดูกฎหมายที่ว่า นั่นคือ ร่างข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อที่ 13 ว่าด้วยเรื่องการพ้นตำแหน่งของคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร (1) สภาสิ้นอายุ หรือ สภาถูกยุบ หรือไม่มีสภาเพราะเหตุอื่นใด
กมธ. เสียงข้างน้อย จากพรรคเพื่อไทย ได้แก่ นายอดิศร เพียงเกษ ฐานะ กมธ.ฯ และนายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี ขอสงวนความเห็นให้ตัดคำว่า “หรือไม่มีสภาเพราะเหตุอื่นใด” ออก เนื่องจากเป็นคำที่สะท้อนให้นึกถึงการยึดอำนาจหรือการรัฐประหาร เพราะการพ้นไปของสภาฯ มี 2 เหตุผลที่เขียนในรัฐธรรมนูญ คือ อยู่ครบวาระ และการยุบสภา เท่านั้น
นายอดิศร ย้ำว่า การตัดข้อความ “เหตุอื่นที่ไม่สามารถมีสภาได้” ออกไป นั่นก็คือ ไม่ไปรับรองความถูกต้องของการรัฐประหาร เพื่อศักดิ์ศรีของสภาผู้แทนราษฎรและระบอบประชาธิปไตย
เสมือนการปลุกใจฝ่ายค้านอีกครั้ง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญของคำบางคำที่มีนัยสำคัญในแง่อุดมการณ์ทางการเมือง!
หรือท้ายที่สุดผลการแพ้ชนะ อาจจะเป็นแค่เรื่องปัญหาระบบถ่ายทอดสัญญาณเสียง เรื่องความพร้อมเพรียงของรัฐบาลที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ กับวาระที่ไม่สำคัญเท่าปัญหาปากท้องประชาชนเท่านั้น?
“ความไม่ประมาท” คือสัจจธรรมที่ควรยึดถือเป็นสรณะ ไม่ว่าฝ่ายใด
Ringsideการเมือง รายงาน