นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ยิ่งทรุดลงหนักมากเหมือนที่ได้เตือนแล้ว โดยขยายตัวได้เพียง 2.3% หลังจากที่ไตรมาสแรกทรุดเหลือ 2.8 % แล้ว ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี การส่งออกติดลบถึง 6.1% ทั้งนี้เป็นผลมากจากการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวมากว่า 5 ปี และยังแสดงว่า แม้จะมีการเลือกตั้งแล้วรัฐบาลก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นได้
ที่สำคัญคือ ครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่จะยิ่งทรุดต่ำลงอีกไปอีก เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเริ่มที่จะย่ำแย่จากความตื่นกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่มีสัญญาณมาจาก Inverted Yield Curve ที่พันธบัตรระยะยาวให้ผลตอบแทนต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น แสดงถึงความไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจในอนาคต และทุกครั้งที่เกิดสัญญาณนี้ เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเสมอหรืออย่างน้อยก็เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และสถานการณ์นึ้ได้เกิดมาซักพักแล้ว ซึ่งหากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยเกิดขึ้น ขอเตือนว่าเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักอยู่แล้วจะยิ่งทรุดหนักลงไปอีก และเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่เป็นระยะเวลานานเลย
ทั้งนี้ พิสูจน์แล้วว่า 5 ปีที่ผ่านมาเป็นความเสียหายและการเสียโอกาสของประเทศไทยอย่างมาก ที่เศรษฐกิจโลกไปได้ดีแต่ประเทศไทยติดปัญหาทางการเมืองจากการปฏิวัติรัฐประหาร ทำให้ไม่สามารถขยายการเจริญเติบโตตามศักยภาพได้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากมาตลอด อีกทั้งรัฐบาลไม่ได้มีการเตรียมการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะถดถอยนี้เลย โดยพลเอกประยุทธ์พึ่งจะยอมรับครั้งแรกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังแย่ ทั้งที่ความจริงคือเศรษฐกิจแย่มากว่า 5 ปีแล้ว แถมยังพูดในเชิงว่าต่อให้นายลีเซียนลุง นายกฯ สิงคโปร์ก็แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยไม่ได้ ซึ่งพูดเหมือนกับยอมรับว่าความรู้ความสามารถของตนเองห่างชั้นกับนายลีเซียนลุงมาก ทำให้สงสัยว่าถ้ารู้ตัวเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ให้ผู้อื่นที่มีความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าตัวเองมากๆ เข้ามาบริหารประเทศแทน
โดยที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์บริหารเศรษฐกิจล้มเหลวมาตลอด 5 ปี และแนวโน้มก็จะยิ่งล้มเหลวมากยิ่งขึ้น โอกาสน้อยมากที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเกิน 3% ประเทศไทยยังไร้ทิศทางการพัฒนา ประชาชนจะยิ่งลำบากกันมากขึ้น มีแต่แนวคิดการแจกเงิน ซึ่งจะช่วยได้แค่ระยะสั้นเท่านั้น แม้จะแจกเงินเป็นแสนๆล้านบาทก็จะไม่ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่เข้าใจกลไกเศรษฐกิจโดยรวมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงมิติทางเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่
ในอนาคตข้างหน้าที่เศรษฐกิจโลกจะปั่นป่วน จะยิ่งทำให้ประชาชนเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะยิ่งหมดสภาพในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนจะยิ่งลำบากมากขึ้น จนจะทนกันไม่ได้แน่ๆ จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้พิจารณาตนเองให้ดีว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถเพียงพอหรือเหมาะสมหรือไม่กับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ อย่าได้ดันทุรังเพราะประเทศจะยิ่งเสียหายมากขึ้น