นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจว่า ขอบคุณสภาพัฒน์ ฯ ที่แถลงข่าวให้ข้อมูลภาวะสังคมไทยต่อสาธารณะว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนของคนไทยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ แตะ 13 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 78.7 ต่อ GDP สูงสุดในรอบ 9 ไตรมาส สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเซีย
นี่เพียงขนาดตัวเลขหนี้ครัวเรือนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังฉิวเฉียดร้อยละ 80 ของ GDP ยังไม่นับตัวเลขเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ เช่น หนี้สาธารณะ ตัวเลขการลงทุน การส่งออก อัตราการว่างงาน ตัวเลขการท่องเที่ยว ตัวเลขการเก็บภาษีแวตที่ลดลงอย่างน่าใจหาย ฯลฯ ซึ่งฝ่ายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยกำลังสำรวจตรวจสอบอยู่
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า การแถลงข้อมูลดังกล่าวของสภาพัฒน์ ฯ เป็นข้อมูลที่เป็นทางการ เป็นกลาง เป็นข้อมูลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำให้คนไทยตาสว่าง ว่า 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลนี้บริหารประเทศล้มเหลว โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ไม่สามารถแก้ไขให้กระเตื้องขึ้นได้เลย
ต่อไปนี้ทุกภาคส่วนคงจะต้องหันมาตระหนักร่วมกันว่า หากประเทศของเราไม่ได้รับความเชื่อมั่นทางด้านการเมือง การปกครอง หรือการเมืองที่ไม่เป็นธรรม และไม่มีเสถียรภาพ จะส่งผลกระทบย้อนกลับมายังคนไทยทุกครัวเรือน ดังเช่นที่เป็นอยู่ในช่วง5 ปีที่ผ่านมา
ประการสำคัญ ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจดังกล่าวจะยังดำรงอยู่ ทั้งจะเพิ่มขึ้น ถ้าไม่แก้กติกาบ้านเมืองให้เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย และมีเสถียรภาพดังกล่าวข้างต้น เราคนไทย คงต้องหาทางออกร่วมกันแล้วว่า จะออกจากวิกฤติหลุมดำการเมืองที่ส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่รุมเร้าคนไทยและประเทศชาติอยู่ในขณะนี้ได้อย่างไร
สำหรับจุดยืนของตน ขอยืนยันความเห็นเดิมว่า ต้องแก้ที่หัวใจของปัญหา คือ กติกาการเมือง การปกครอง ต้องเป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย การเมืองถึงจะมีเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นประเทศถึงจะกลับคืนมา การค้า การลงทุน ถึงจะกลับมารุ่งเรือง
“รัฐบาลควรมีสติรับฟังใคร่ครวญปัญหาอย่างรอบด้าน อย่าให้ประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่ต้องถึงกับล้มละลาย รีบยอมรับความจริง แล้วส่งสัญญาณบวกว่า บ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริงถึงเวลาที่ท่านทั้งหลายจะสละอำนาจเพื่อประเทศชาติได้แล้ว โดยยังรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ แล้วร่วมกันแก้กติกาให้สมบูรณ์เพื่ออนุชนรุ่นหลังของเราไม่ต้องแบกภาระที่คนรุ่นเราสร้างไว้” นายชวลิต กล่าว