หน้าแรก Article “ภูมิใจไทยสัญจร” การเมืองปักษ์ใต้สะเทือน ด้วยพรรคปฏิบัติการ

“ภูมิใจไทยสัญจร” การเมืองปักษ์ใต้สะเทือน ด้วยพรรคปฏิบัติการ

0
“ภูมิใจไทยสัญจร” การเมืองปักษ์ใต้สะเทือน ด้วยพรรคปฏิบัติการ
Sharing

ไทยโพสต์ เผยแพร่บทความ “ปักษ์ใต้สะเทือน… เมื่อทัพสีน้ำเงินมา” เมื่อวันที่ 16 ต.ค.62 โดยวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่พรรคภูมิใจไทย ขนทัพรัฐมนตรีของพรรค 7 คน และ ส.ส. 51 ชีวิต จัดกิจกรรม “ประชุมพรรคภูมิใจไทย สัญจร ครั้งที่ 1” ที่จังหวัดพัทลุง ไว้อย่างน่าสนใจว่า  ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ได้สร้างปรากฏการณ์หลายอย่างให้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย หนึ่งในนั้นคือการทำลายความเชื่อที่ว่า “ภาคใต้เป็นของพรรคประชาธิปัตย์” ภายหลังปรากฏจำนวนที่นั่ง ส.ส.ที่พรรคสีฟ้าคว้ามาได้ มีเพียง 22 จากทั้งหมด 50 ที่นั่ง

ลดลงชนิดน่าใจหายเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 ที่เคยกวาดมาได้ถึง 50 จาก 53 ที่นั่ง ในทางกลับกัน พรรคการเมืองที่สร้างเซอร์ไพรส์กลับกลายเป็นพรรคเลือดน้ำเงิน “ภูมิใจไทย” ซึ่งสามารถชนะใจคนใต้ได้ ส.ส.รวมทั้งสิ้น 8 คน นับว่าเป็นผลการเลือกตั้งที่น่าพอใจอย่างยิ่งหากเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนที่พรรคมี ส.ส.ภาคใต้เพียงคนเดียว

ดังนั้น เพื่อตอบแทนความไว้วางใจของชาวใต้ เมื่อวันที่ 11-12 ตุลาคมที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย นำโดย “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ขนทัพรัฐมนตรีของพรรค 7 คน และ ส.ส. 51 ชีวิต จัดกิจกรรม “ประชุมพรรคภูมิใจไทย สัญจร ครั้งที่ 1” ประเดิมที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของแม่ทัพหญิงแห่งภาคใต้ของพรรคอย่าง “นางนาที รัชกิจประการ”

 

 “หัวหน้าอนุทิน” ให้เหตุผลในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า ถือเป็น “การเริ่มต้นตอบแทนบุญคุณของประชาชน” และมีความตั้งใจจะสัญจรไปทั่วประเทศ เพื่อติดตามงานที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่รับผิดชอบ และรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนในพื้นที่แบบค่ำไหนนอนนั่น พร้อมยืนยัน “อะไรที่ได้ให้คำมั่นสัญญาในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเกี่ยวกับการแก้ปัญหาปากท้อง พรรคจะนำส่งทุกเรื่อง นโยบายต่างๆ จะเดินหน้าเร็วขึ้น แรงขึ้น”

คำพูดดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ใช่แค่ลมปาก เมื่อที่ประชุมภูมิใจไทยสัญจร ซึ่ง “นายอนุทิน” มอบหมายให้ “นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะผู้นำในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์พัฒนาภาคใต้ เป็นประธานการประชุม มีมติมุ่งเป้าพัฒนา 14 จังหวัดภาคใต้ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวผลักดัน 98 โครงการสำคัญลงพื้นที่ งบประมาณรวมกว่า 22,435 ล้านบาท

โดยโครงการที่โดดเด่น เช่น แผนงานนำกัญชาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์,  โครงการยกระดับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เป็น อสม.หมอประจำบ้าน, ปรับปรุงและขยายช่องจราจร ถนนเส้นทางหลักภาคใต้ จากปาดังเบซาร์ถึงกรุงเทพฯ  ช่วงพัทลุง-อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ระยะทาง 15 กม., โครงการสร้างสะพานข้ามไป อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ระยะทางประมาณ 1 กม., โครงการสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ช่วง อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ถึง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ระยะทาง 6 กม.,  โครงการก่อสร้างเส้นทางริมทะเลสาบลำปำ (อ.เขาชัยสน – อ.เมือง – อ.ควนขนุน), โครงการก่อสร้างถนนสาย จ.สตูล-จ.พัทลุง, โครงการพัฒนาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ให้เป็นศูนย์ดิจิทัลชุมชน เป็นต้น

ทั้งนี้ “นายพิพัฒน์” แสดงความเห็นว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้ของภูมิใจไทย คือ “ใช้การท่องเที่ยวแก้ปัญหาปากท้องประชาชน” เนื่องจากแต่ละปีมียอดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางสู่ภาคใต้คิดเป็นหลายล้านคน การใช้งบประมาณครั้งนี้จึงถือว่าคุ้มค่า เพราะจะสร้างแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น

ตั้งเป้าหมายว่าในปีงบประมาณ 2563 จะมีนักท่องเที่ยวเยือนภาคใต้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5 แสนคน ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ในพื้นที่ ส่งผลโดยตรงต่อการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งเป็นแคมเปญที่พรรคชูมาตลอดในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด

ด้วยสรรพกำลังขนาดนี้ พรรคภูมิใจไทยย่อมถูกจับตาว่ากำลังคิดการใหญ่ หวังฟาดเรียบเหมา ส.ส.ทุกที่นั่งในภาคใต้หรือไม่ ร้อนไปถึง “นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต ส.ส.พัทลุง ออกมาตอบโต้ว่า ตอนนี้ภูมิใจไทยบอกจะทำนั่นทำนี่ให้กับ 14 จังหวัดภาคใต้ อะไรก็พูดได้ ขอให้รอดูผลงานดีกว่า ว่าเขาทำท่องเที่ยวอย่างไร

“แต่สิ่งที่ประชาชนต้องไม่ลืมด้วยคือการทำประชาธิปไตยสุจริต แม้จะมีการเอางบประมาณ เอาโครงการมาแลก หากเริ่มต้นด้วยองศาที่ไม่ถูกต้องก็จะก่อให้เกิดปัญหา เช่นจะมีการถอนทุนหรือไม่ หากลงทุนไปเยอะก็ต้องมีการถอนทุน ไม่มีใครเชื่อว่าลงทุนไป 40-50 ล้านแล้วไม่ถอนทุน ผมจึงขอเรียกร้องให้ทำประชาธิปไตยสุจริตด้วย ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้วย ยิ่งเขาประกาศจะทำโครงการท่องเที่ยวใหญ่โตทั่วทั้งภาคใต้แบบนี้ งบลงทุนต่างๆ ก็ต้องหลั่งไหลมายิ่งน่าจับตาดู” อดีต ส.ส.พัทลุง ปชป.กล่าว

ขณะที่ “แม่ทัพหญิงภาคใต้ภูมิใจไทย” ไม่ได้แยแสกับคำพูดดังกล่าวของอดีต ส.ส.พรรค ปชป. พร้อมเกทับว่าถือเป็นการเดิมพัน หากทำงานประสบความสำเร็จ ย่อมหมายถึงโอกาสในการเข้าสู่สนามเลือกตั้งในครั้งต่อไป จากเดิมได้ ส.ส.เขตภาคใต้จำนวน 8 คน โดยตั้งเป้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 100%  จากเดิมมีอยู่ 8 ที่นั่ง อาจจะเพิ่มเป็น 16 หรือ 22 ที่นั่ง ก็เป็นไปได้หากผลงานต่างๆ ของพรรคเข้าตาชาวบ้าน

“เราไม่ได้แข่งกับพรรคไหน แต่แข่งกับงานเพื่อปากท้องประชาชน โดยไม่เล่นการเมืองและพิสูจน์ว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมืองที่แตกต่าง และเป็นพรรคการเมืองเชิงปฏิบัติการอย่างแท้จริง” นางนาทีกล่าว

ถอดรหัสจากแม่ทัพหญิงภาคใต้ คงจะมองไปที่เป้าหมาย และไม่เห็นว่า ปชป.อยู่ในสายตาเพราะอุปสรรคตรงหน้าคือความอยู่ดีกินดีของประชาชน หลังพรรคการเมืองต่างๆ ไม่เหลียวแลพื้นที่ภาคใต้มานานหลายสิบปี โดยเฉพาะเมืองพัทลุง ยังขาดการพัฒนาดูแลอย่างจริงจัง เห็นได้จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รั้งท้ายทั้งในระดับภาคและระดับประเทศ เช่น ในปี 2560 ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของพัทลุงอยู่ในลำดับที่ 61 จาก 77 จังหวัดต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากจังหวัดนราธิวาส

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพรรคภูมิใจไทยจึงต้องทุ่มสุดตัว เทหมดหน้าตัก เพื่อสร้างผลงานพิสูจน์ความสามารถและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในใจประชาชน

แตกต่างจากพรรคการเมืองต่างๆ  ยังสาละวนอยู่กับวาระทางการเมือง โดยเฉพาะปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ ละเลยเศรษฐกิจปากท้องเท่าที่ควร ส่วนพรรคเก่าแก่ ซึ่งเคยผูกขาดพื้นที่มานาน ยังไม่สามารถหยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้

สะท้อนได้จากท่าที “นายชินวรณ์ บุญเกียรติ” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องมีความกระตือรือร้นมากขึ้น ด้วยยุทธศาสตร์เรียกศรัทธาจากประชาชนที่ขณะนี้มี 3 เรื่อง คือ 1.รัฐมนตรีต้องโชว์ผลงานด้วยการเข้าไปแก้ปัญหาให้ประชาชน โดยเฉพาะนโยบายหลักๆ 2.ในเรื่องของสภาที่ ส.ส.ต้องทำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมาหารือและตรวจสอบวางบทบาทให้ประชาชนคาดหวังได้ และ 3.พรรคต้องมียุทธศาสตร์และนโยบายในพื้นที่ให้มากกว่าเดิม โดยทั้งหมดต้องขับเคลื่อนด้วย ส.ส.พรรคเป็นหลัก

จึงเห็นว่าการเคลื่อนพลอย่างมีเอกภาพของ 7 รมต. และ 51 ส.ส. ค่ายสีน้ำเงินที่เมืองพัทลุงคราวนี้พร้อมงบประมาณ 2.2 หมื่นล้าน ส่งผลสะเทือนไปทั้งภาคใต้ ส่วนมิติทางการเมืองจะยึดครองหัวใจชาวบ้านเพิ่มขึ้นได้หรือไม่… คงต้องติดตามไปพร้อมกัน.


Sharing

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่