ปรากฏการณ์ตอบโต้กันไปมาระหว่างสื่อเจ้าดังอย่างเครือ “เนชั่น” กับพรรคการเมืองค่าย “ภูมิใจไทย” กำลังเต็มไปด้วยความเข้มข้น และดูเหมือนจะ “เปลือย” การทำหน้าที่ขององค์กรที่เรียกตัวเองว่าเป็น “สื่อมวลชน” ในฐานะเป็นเครื่องมือ “การเมือง” ได้เป็นอย่างดี หรือไม่
ถ้าย้อนกลับไปดู “มูลเหตุ” แรกเริ่มเดิมที เกิดขึ้นจากการตรวจสอบกระทรวงคมนาคมที่ดูแลโดย รมต.ศักดิ์สยาม ชิดชอบ แกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย ชนิดที่หลายคนอุทานว่า “อิหยังวะ!” เพราะส่วนใหญ่ “เชื่อว่า” เนชั่น คือสื่อเลือกข้างฝั่งรัฐบาล แล้วเหตุใดถึงมาเล่นงานพรรคร่วมแบบผิดสังเกต ถึงขนาดมีทฤษฎีว่า เป็นเกมเลื่อยขาเก้าอี้จาก “คนใน” ด้วยกัน? แถมกำลังยื่นดาบให้ศัตรูใช้ในศึกซักฟอกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ดังที่คอลัมน์ E-DUANG ของมติชนวิเคราะห์ไว้ว่า
“แม้ว่ากรรมการบริหารของพรรคพลังประชารัฐมิได้ถือครองหุ้นโดยตรง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีเส้นสายและมีความสัมพันธ์กับเจ้าของสื่ออย่างแนบแน่น จึงไม่แปลกที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จะถูกฟาดกระหน่ำ จึงไม่แปลกที่พรรคภูมิใจไทยจะถูกขุดคุ้ยและโจมตี
กรณีที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐหันปลายหอกกระหน่ำเข้าใส่พรรคภูมิใจไทย และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จึงเป็นบทเรียนโดยตรงกรณีที่ พรรคการเมืองมีสื่ออยู่ในความครอบครอง เป็นอย่างที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้ประสบด้วยตนเอง
ยิ่งแกนนำพรรคพลังประชารัฐมีความกระหายและต้องการทวงคืนกระทรวงคมนาคมจากพรรคภูมิใจไทยมากเพียงใด บทบาทของสื่ออันเป็นประเภทลูกแหล่งตีนมือ ยิ่งแผลงฤทธิ์ มากเพียงนั้น ทั้งหมดล้วนอยู่ในความรับรู้ของพรรคภูมิใจไทยและสังคม”
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองแบบขัดความรู้สึก(บางคน)ว่า เนชั่นกำลังทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมา ตรวจสอบทุกฝ่ายอย่างไม่เลือกหน้า แต่ทั้งนี้ ก็ต้องมาพร้อมกับ “ความรับผิดชอบ” หากข้อมูลที่นำเสนอออกไปผิดพลาดหรือบิดเบือน การถูกฟ้องกลับ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาว่า คนสื่อ ถูกคนการเมืองหรือเอกชน ฟ้องร้องกันมากมาย
เคยมีอดีตนายกฯ ฟ้องร้องรายการทีวี
เคยมีคอลัมนิสต์นับไม่ถ้วนขึ้นโรงขึ้นศาล
เขาต่อสู้กันด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่น้ำลาย
น้อยครั้งที่จะเห็น “สื่อ” ที่ถูกฟ้องคืน แล้วประกาศ “จองเวร” คนฟ้อง ชนิดที่ว่าระดมรับเรื่องร้องเรียนเฉพาะผู้แทนพรรคภูมิใจไทย และรายงานข่าว “จัดหนัก” เช้าสายบ่ายเย็น
เหมือนจะไม่ยอม ตราบใดที่ยังไม่ได้ ตามเป้าหมายที่ต้องการ?
เพราะจะว่า ไปสื่อเจ้านี้ ถูกมองจากผู้คนในสังคมด้วยสายตาที่ไม่สู้ดีนัก
ยิ่งในโลกออนไลน์ “เนชั่น” มีคู่กรณีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับของพรรคอนาคตใหม่ เพื่อไทย และบรรดาพรรคฝ่ายค้าน หรือแม้แต่คนข่าวด้วยกัน นักสื่อสารมวลชน วงการนักวิชาการ ต่างออกอาการส่ายหน้า!
ผู้ใหญ่ในวงการนักพูดท่านหนึ่ง ถึงขนาดพูดว่า “ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าเนชั่นเปลี่ยนเป้าจากอนาคตใหม่เป็นภูมิใจไทย เพราะผมไม่ดู”
รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง ก็กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “ฝากไปถึงท่านที่เป็นสื่อ โดยเฉพาะสื่อที่อยู่มานาน ที่น่าเชื่อถือ เกียรติยศในความเป็นสื่อ จะมีอคติไม่ได้”
รอบล่าสุดเนชั่นใช้กลยุทธ์ ขุดคุยข้อกล่าวหาของบริษัทซิโน-ไทยฯ กรณีสินบนโรงไฟฟ้าขนอม ที่อยู่ในชั้นของ ป.ป.ช.มาตีแผ่ แล้วพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในเชิง “โน้มน้าว ชักจูง ให้เข้าใจว่า” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งที่นายอนุทิน พ้นจากการเป็นผู้บริหารบริษัทดังกล่าวนานกว่า 15 ปีแล้ว และเคยเป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อย ไม่ถึง 4%
เนชั่นออกอาการไม่ยอมรับ “กรรมเก่า” แถมยังสร้าง “กรรมใหม่”
แล้วยังลืมว่ามี “กรรมหนัก” ที่เคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้มากโขในทางการเมือง
ดังนั้น สื่อมวลชน ต้องทำตัวเป็น “ดาว” แต่มิใช่ “ดาวสยาม” หรือ “ดาวไถ”
ซึ่งเรื่องบทบาทหน้าที่สื่อเครือเนชั่น ก็เคยสั่งสอนคนอื่นไว้อย่างดิบดี
คอลัมน์มารยาตลาดหุ้น โดย “คุณนายเผือก” ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3459 หน้า 17 ระหว่างวันที่ 7-10 เม.ย.2562 เคยแนะนำ รายการ “ต่างคนต่างคิด” ของ “ช่องอมรินทร์” ไว้ว่า
“…“สื่อ” ไม่ใช่อาชีพที่จะทำให้คุณรวยได้เป็นแสนล้าน
“สื่อ” เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ทางปัญญาและไฟนำทางสังคมยามมืดมิด
“สื่อ” เป็นอาชีพที่มีเกียรติและต้องอาศัยความเอาใจใส่กว่าการขายน้ำเมา…”
รอบนี้ หลายคนจึงแทงข้าง “ภูมิใจไทย”