การตัดสินใจของมนุษย์ ย่อมนำมาซึ่งผลตอบรับที่สมหวัง และผิดหวังสำหรับผู้ที่ตัดสินใจ
ในทาง “การเมือง” มีการตัดสินใจมากมาย เพื่อนำตัวเองไต่ระดับไปสู่ชั้นอำนาจ
กระนั้น การตัดสินใจหลายครั้ง นำพาซึ่งความผิดหวัง ซ้ำร้าย ยังอาจสร้างความเจ็บปวดแก่ตนเองอย่างแสนสาหัส
ล่าสุดมี “สื่อดัง” กำลังปั่นกระแสยุให้ “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “เขี่ย” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รวมไปถึงพรรคนี้ให้พ้นจากความเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
โดยเขียนบทความในชื่อ “ลุงตู่กล้าไหม เขี่ย “ภูมิใจไทย”
ก่อนจะขึ้นข้อความ
“การอยู่ร่วม ครม.ต้องมีมารยาทในการอยู่ร่วมกัน แต่ “เสี่ยหนู” ไปเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายค้าน”
ยกกรณีที่ “รองฯหนู” โพสต์เฟซบุ๊ค ว่า “เข้าข้างช่อเฉพาะเรื่องนี้” หรือเรื่องที่ “เนชั่น” ถูก “คนการเมือง” ครอบงำ
“สื่อดัง” ตีความว่าเป็นการไม่ให้เกียรติพรรคร่วม เพราะ “เนชั่น” มีผู้บริหารชื่อ “ฉาย บุนนาค” เป็นสามีโดยพฤตินัยของ “มาดามเดียร์ วทันญา วงษ์โอภาศรี” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ
การวิพากษ์ “เนชั่น” จึงเท่ากับวิพากษ์ “มาดามเดียร์” จึงเท่ากับวิพากษ์ “พลังประชารัฐ”
แค่ตรรกะก็ออกแนวพิลึกกึกกือ เพราะด้วยเหตุผลนี้ เท่ากับว่าพรรคร่วมจะทำอะไร ก็ต้อง “ถูก” หมดกระนั้นหรือ แม้ตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็ต้องยิ้มให้เพื่อนต่อย ใช่หรือไม่ ?
ทั้งนี้ หากเรียงไทม์ไลน์ความขัดแย้ง แทนที่จะมาบอกว่าภูมิใจไทย ไม่มีมารยาท ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า
“ใครทำใครก่อน?”
เป็น “เนชั่น” ที่ไล่อัดนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ก่อน ใช่หรือไม่ ?
จนนำมาซึ่งเรื่องฟ้องร้องจาก “พรรคภูมิใจไทย” ที่เดินหน้าใช้ช่องทางกฎหมายลุยใส่ “เนชั่น”
อย่างไรก็ตาม “ภูมิใจไทย” ยังใช้ช่องทางเรียกร้องความถูกต้องตามสิทธิ์ที่มี แต่กลายเป็น “เนชั่น” ที่เล่นลูกพิศดาร ขึ้นข้อความระบุว่า
“ให้ประชาชน ข้าราชการทั่วประเทศ ผู้ใดพบเห็นพฤติกรรมของผู้แทนภูมิใจไทยเข้าแทรกแซง หรือสั่งการโดยมิชอบ ให้ร้องเรียนมาที่สื่อในเครือ โดยเฉพาะรายการ “เนชั่นสุดสัปดาห์””
แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับ “พรรคภูมิใจไทย” อย่างชัดเจน ดังนั้น การจะถามหามารยาท หรือการให้เกียรติ จึงเป็นเรื่องที่ยังงงอยู่
มาถึงวันนี้ “สื่อดัง” กำลังพยายามยุให้ “บิ๊กตู่” ไล่ “ภูมิใจไทย” ออกจากการเป็นพรรคร่วม
โดยอาจมิได้มองภาพรวมแห่งความเป็นจริงว่า
“พรรคภูมิใจไทย” ในฐานะพรรคตัวแปรเบอร์ 2 รองจากประชาธิปัตย์ มีความสำคัญกับคณะรัฐบาลขนาดไหน ทั้งที่ความสำคัญนั้นปรากฎอยู่ตรงหน้า ตั้งแต่การตั้งรัฐบาลที่ “ภูมิใจไทย” ได้ดูแลกระทรวงใหญ่ หลายต่อหลายกระทรวง ซึ่งหากไม่ “เจ๋งจริง” คงไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจขนาดนี้
กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน
หากเฉดหัว “ภูมิใจไทย” ออกไปแล้ว ต่อให้พรรคภูมิใจไทย จะออกไปเป็นฝ่ายค้านอิสระ ก็เท่ากับว่าเสียงของรัฐบาลจะหายไป 50 กว่าเสียง จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ การผ่านกฎหมาย กระทำได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญ เพราะ ส.ว.ไม่มีอำนาจมาโหวตกฎหมายต่างๆ ด้วย
ยิ่งถ้าไปรวมกับพรรคฝ่ายค้านปัจจุบัน จะทำให้พรรคฝ่ายค้านมีเสียงทะลุ 300 เสียง สามารถตั้งรัฐบาลได้อย่างมีความชอบธรรม
กรณีเดียวกัน ถ้า “บิ๊กตู่” ลาออก ยุบสภา หวัง “ล้างไพ่” ยิ่งเป็นการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะคะแนนของรัฐบาลเริ่มลดน้อยถอยลง หลังหมดช่วงฮันนีมูน ซึ่งคะแนนที่หายไปดังกล่าว กำลังเทไปอยู่ที่พรรคฝ่ายค้าน และพรรคขนาดกลางซึ่งทำงานหนักอย่าง “พรรคภูมิใจไทย”
กรณีลาออก ต้องมาลุ้นหนักว่า เอกภาพในพรรคร่วมปัจจุบันเป็นอย่างไร ในจะฝ่ายค้านอิสระที่ไม่รู้จะไปทางไหนอีกเกือบ 10 ชีวิต เกิด “เหี้ยน” ไม่ยกมือหนุน “บิ๊กตู่” จะแก้เกมอย่างไร ?
ถ้าเลือกตั้ง เกิดผลออกมา แล้วฝ่ายค้าน ณ ปัจจุบันได้เสียงเกินครึ่ง อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ?
หรือถ้าฝ่ายค้าน ได้เสียงไม่ถึงครึ่ง แต่ปรากฎว่าพรรคพลังประชารัฐได้เสียงน้อยกว่าประชาธิปัตย์ หรือ “ภูมิใจไทย” จะกลายเป็นพรรคเบอร์รองในการตั้งรัฐบาล จากที่เคยคุมเกมเช่นที่ดำรงอยู่ จะกลายเป็น “ผู้ตาม”
“พลังประชารัฐ” จะรับได้หรือไม่
แล้วถามว่าการที่ “ภูมิใจไทย” มีปัญหากับ “เนชั่น” จะเร่งให้ “บิ๊กตู่” เขี่ย “ภูมิใจไทย” พ้นทาง แลกกับการเดินไปสู่ความเสี่ยงทางการเมือง ที่มีแต่ทรงกับทรุดเชียวหรือ ทั้งที่เป็นเรื่องที่สามารถหาทางออกกันได้
ที่สำคัญ “รองฯหนู” กับ “บิ๊กตู่” ก็ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกัน แต่กลับเป็น “คู่ทำงาน” ชนิดที่ “ไปไหนไปกัน” เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นเมื่อบวกลบคูณหาร “ใคร” ที่คิด หรือ “มโน” ในภาษาวัยรุ่นว่า “พรรคภูมิใจไทย” จะต้องถูก “เขี่ย” ก็เตรียมตัว “ผิดหวัง” ได้เลย
Ringsideการเมือง