เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 มกราคม ที่รัฐสภา (เกียกกาย) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวคดีเงินกู้พรรค ตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามมาตรา 66 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง และต่อมา กกต.มีมติยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าว นั้น
นายปิยบุตร กล่าวว่า เมื่อปลายปีที่แล้วศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของ กกต. ที่ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ อันเนื่องมาจากคดีกู้เงิน แล้วให้เวลาในการยื่นเอกสารคำให้การต่างๆ 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันนี้ (10 ม.ค. 63) ด้วยเวลา 15 วัน ประกอบกับตรงกับช่วงหยุดเทศกาลปีใหม่ ทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ขอขยายเวลายื่นเอกสารคำให้การ พยานหลักฐานต่างๆ โดยศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ส่งเอกสารได้ภายในวันที่ 27 มกราคม 2563
นายปิยบุตร กล่าวว่า เคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่า กกต. มีมติเสนอคำร้องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญโดยข้ามขั้นตอน ไม่ทำตามขั้นตอนกระบวนพิจารณาในชั้น กกต. เพราะหากทำตามขั้นตอนแล้ว เมื่อมีมติยกคำร้องเรื่องก็จะยุติลง แต่ถ้าหากมีมติก็จะแจ้งข้อกล่าวหา และเมื่อแจ้งข้อกล่าวหาแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการไต่สวนต่อไป จากนั้นจึงจะเรียกผู้ต้องหาเข้ามาชี้แจง ซึ่งที่ผ่านมา คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะหัวหน้าพรรค เหรัญญิกของพรรค และตนเอง ถูกเรียกตัวไปสืบสวนสอบสวนในฐานะพยานในชั้นคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไปไม่มีข้อกล่าวหาแจ้งเข้ามา แต่แล้วอยู่ดีๆ เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กกต.มีมติไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
“กระบวนการนี้ ผมจึงตั้งคำถามว่า ไม่ตั้งข้อหาหรือข้อกล่าวหา แล้วมีมติเสนอคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร และจนวันนี้ เราถึงรู้ชัดเจนว่า กกต.น่าจะทำผิดกฎหมายชัดเจน กกต.น่าจะดำเนินกระบวนการพิจารณาผิดขั้นตอนอย่างชัดเจน เพราะตอนนี้ ผมได้รับเอกสารการดำเนินการในชั้น กกต.มาทั้งหมด” ปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของคำร้องนี้คือ มาตรา 66 เรื่องบริจาคให้พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปี แล้วเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 กกต.ได้ประชุมครั้งที่ 69/2562 มีมติรับคำร้อง จากนั้นจึงส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 13 ที่มีคุณเกรียงศักดิ์ ม่วงอ่อน เป็นประธาน หลังจากนั้น ได้เรียกตน เหรัญญิกพรรค หัวหน้าพรรค และผู้เกี่ยวข้องไปสอบสวนในฐานะพยาน จนกระทั่งวันที่ 23 สิงหาคม 2562 คณะที่ 13 นี้ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ยกคำร้อง นี่คือเอกสารชัดเจนที่ยืนยันว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ยกคำร้องกรณีกู้เงินพรรคอนาคตใหม่
“หากยกคำร้องแล้ว คดีของพรรคอนาคตใหม่จะต้องจบ โดยคณะที่ 13 ให้เหตุผลว่า เป็นการกู้เงินกันจริง พรรคการเมืองสามารถกู้เงินได้ เพราะไม่มีกฎหมายข้อใดห้าม และในอดีตพรรคการเมืองอื่นๆ ก็กู้เงินเช่นกัน โดยในเอกสารระบุไว้ว่าพรรคการเมืองใดเคยกู้เงินบ้าง และยังระบุอีกว่า เงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่เป็นหนี้สิน ดังนั้น จึงไม่เข้ามาตรา 62 เรื่องแหล่งที่มาของรายได้ และยังอธิบายต่อว่า พรรคอนาคตใหม่กู้มาเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง มิใช่เอาไปทำธุรกิจเพื่อแสวงหากำไร คณะกรรมการสืบสวนและไต่จึงสรุปว่า การกู้เงินของพรรคอนาคตใหม่กู้ได้ จึงไม่ผิดตามมาตรา 66 ว่าคุณธนาธรบริจาคเกิน 10 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งพยานในฝ่ายเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กกต.ที่ทำเรื่องกิจการพรรคการเมือง ให้เหตุผลทำนองนี้ตรงกันหมดเกือบทุกคน” ปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวต่ออีกว่า หลังจากคณะที่ 13 มีมติยกคำร้อง ด้านกกต.ก็ยังไม่จบ ได้ยื่นต่อ สสส. หรือสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยที่ 1 ให้ทำการสืบสวนต่อ โดย สสส.ใช้เวลาสืบสวนทั้งสิ้น 1 เดือน จึงมีมติออกมาว่ายกคำร้องเช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลทำนองเดียวกันกับคณะที่ 13 เมื่อมีมติยกคำร้องจากคณะสืบสวนสอบสวนถึง 2 ครั้ง กกต.ก็ยังไม่ลดละความพยายาม มีมติเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องเข้าอนุกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งตนก็ได้เอกสารเกี่ยวกับวาระการประชุมมาอีกชุดหนึ่ง โดยการประชุมของอนุฯ กกต.นั้นมีมติ 3-2 โดยเสียงข้างมากให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้สั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค และให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุนตามมาตรา 66
“หลังจากนั้น กกต.ก็ได้กลับมาพิจารณาต่อ แล้วจึงมีมติให้เสนอคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญขอให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ จากนั้นศาลรับธรรมนูญก็รับคำร้องเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดเจนจากหลักฐานที่เรามีว่า กรณีคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่นั้น คณะที่ 13 มีมติยกคำร้องด้วยมติเอกฉันท์ โดยที่ไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น เรื่องนี้ต้องจบตั้งแต่คณะสืบสวนสอบสวนที่ 13 แล้ว” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า กกต.ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ต้องยุติคดีนี้ทันที แต่อยู่ดีๆ กกต.ใส่ความผิดเพิ่มเติมแก่พรรคอนาคตใหม่ โดยที่ผู้ถูกร้องไม่รู้ตัว คือใส่ความผิดตามมาตรา 72 เพิ่มเติมเข้ามา เพราะมาตรา 72 มีบทลงโทษคือยุบพรรคการเมือง แต่มาตรา 66 ไม่มีโทษถึงยุบพรรค ซึ่งจุดเริ่มต้นของคดีนี้คือมาตรา 66 และก็ต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานด้วยมาตรานี้มาโดยตลอด การยกคำร้องทั้ง 2 ครั้งก็พิจารณาจากมาตรา 66 แบบนี้จะไม่ให้ตนคิดได้อย่างไรว่า กกต.กระเหี้ยนกระหือรือที่จะยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้
“ในคำร้องของ กกต. ที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เอาเอกสารพยานหลักฐานจากการสืบสวนในความผิดตามมาตรา 66 มาใช้ทั้งหมด ยื่นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญแต่บวกมาตรา 72 เพิ่มเข้าไป เพื่อให้เป็นเหตุถึงขั้นยุบพรรค แบบนี้หลักประกันของพรรคอนาคตใหม่ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคอยู่ตรงไหน ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพรรคอนาคตใหม่มีความผิดตามมาตรา 72 สรุปแล้ว กกต.ทำข้ามขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด เรื่องจบไปแล้วแต่ไม่ยอมจบ แล้วยังจะมายัดข้อหาเพิ่มเติมอีกในนาทีสุดท้าย เพียงเพื่อจะยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้ใช่หรือไม่” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า เอกสารที่ผมได้มาทั้งหมด ตนเชื่อโดยสุจริตใจเลยว่าเป็นของจริง เพราะมีลายเซ็นต์พนักงาน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มีเลขรับหนังสือลงหลักฐานชัดเจน หาก กกต.จะออกมาบอกว่าไม่จริงนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวไปสู้กันในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ตนจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเปิดกระบวนการไต่สวน และเรียกพยานเอกสารชุดนี้ทั้งหมดเข้ามาพิจารณากันในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ จะได้รู้ว่า กกต.ทำผิดขั้นตอนจริงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ เราไปฟ้องศาลอาญาแผนกคดีทุจริตประพฤติมิชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฐานความผิดตาม ป.อาญามาตรา 157 หากพิสูจน์แล้วว่า กกต.มีเจตนากลั่นแกล้งพรรคอนาคตใหม่จริง โทษคือติดคุก
“เรารู้กันดีว่า กกต.เป็นองค์กรอิสระ แต่ความน่าเชื่อถือของ กกต.ชุดนี้ต่ำตั้งแต่จุดเริ่มต้น เพราะไปเชื่อมโยงกับ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เราจะปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้หรือ เราจะปล่อยให้ประเทศไทยตกอยู่ในกำมือของคนไม่กี่คน สามารถชี้เป็นชี้ตายได้หมดแบบนี้หรือ เราจะปล่อยให้ประเทศไทยตกอยู่ในมือของกลุ่มคนที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนแบบนี้หรือ ตนอยากเรียกร้องและขอเชิญชวนให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ ของ กกต. ตั้งออกมาพูดความจริงว่า ท่านถูกกดดันอะไรบ้างในชั้น กกต. อย่ายอมให้กับผู้มีอำนาจที่มากดดันท่าน” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวทิ้งท้ายว่า เราไม่ควรอดทนต่อไปกับการนำองค์กรอิสระมาใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมือง องค์กรอิสระต้องอิสระจากคณะรัฐประหาร จากผู้มีอำนาจในทางการเมือง แต่ไม่ใช่อิสระจากพี่น้องประชาชน อยากให้กรรมการการเลือกตั้งทั้ง 7 ท่าน ตื่นเช้ามาลองส่องกระจกยืนดูหน้าตัวเอง แล้วถามว่าบุคคลที่อยู่ในกระจกนั้น จะมีจิตสำนึกขึ้นมาได้หรือยัง ตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ ท่านไม่รู้สึกอายกับวิชาชีพ คุณวุฒิ เกียรติยศ เกียรติคุณที่ท่านสร้างมาบ้างเลยหรือ