เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีเมื่อแพทย์จากโรงพยาบาลราชวิถี ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมาว่าหลังจากทดลองใช้ยา 2 ชนิด ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ และยาต้านไวรัสเอดส์ มาทำการรักษาผู้ป่วย “ไวรัสโคโรน่า” พบได้ผลดีภายใน 48 ชม. คนไข้อาการดีขึ้นตามลำดับ ข่าวนี้ทำให้ประชาชนคลายความกังวลใจต่อสถานการณ์ “ไวรัสโคโรน่า” ไปได้มาก แต่ก่อนสถานการณ์การรับมือกับ “ไวรัสโคโรน่า” ดีขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการสร้างข่าวปลอม ปล่อยข่าวเท็จ fake news แปลวิกฤตเป็นโอกาสในทางการเมือง เพื่อทำลายความเชื่อมั่นในการรับมือกับสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า” ของรัฐบาล ข่าวปลอม ปล่อยข่าวเท็จ fake news ได้สร้างหวาดหวาดวิตกให้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง กลายเป็นสถานการณ์ “การเมืองในไวรัส ” มีการใช้ไวรัสเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อขย่มรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอภาพข่าว ข้อมูลที่คาดเคลื่อน รวมทั้งมีการนำเสนอภาพการเปรียบเทียบการทำงานระหว่างรัฐบาลลุงตู่กับรัฐบาลทักษิณ กรณีการรับมือกับวิกฤตไข้หวัดนก 2547 ฯลฯ
นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบกันอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน กระทบต่อกระแสความนิยมของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าเหตุที่ประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาลก็เป็นผลมาจากการเตรียมความพร้อมการรับมือที่ไม่มีเอกภาพของรัฐบาลเอง สะท้อนถึงการทำงานเป็นทีมของรัฐบาล ยังไม่ได้มีการบูรณาการกันอย่างจริงจังตามคำกล่าวอ้าง มีการแบ่งแยกพรรคเขา พรรคเรา พวกเขา พวกเรา จนทำให้สถานการณ์บานปลาย ประเด็นสำคัญที่สร้างความหวาดวิตกให้แก่ประชาชนนอกจาก fake news แล้ว คือ การสื่อสารในภาวะวิกฤตของรัฐบาลเองที่ไม่มีความสามารถสื่อสารกับประชาชนในภาวะวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความเชื่อมั่น ความมั่นใจ ความไว้วางใจในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว การสื่อสารในภาวะวิกฤตยังขาดเอกภาพจนทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในข้อมูล หลังจาก “การเมืองในไวรัส ” เริ่มคลี่คลายลงหลังประชาชนเริ่มตั้งหลักได้ สามารถแยะแยะ วิเคราะห์ข้อมูลได้ รู้ได้ว่าอันไหนข่าวจริง อันไหนข่าวปลอม รวมถึงการทำงานในเชิงรุกของกระทรวงสาธารณสุข และการแถลงข่าวผลงานของ โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อ 2 วันที่ผ่านมากลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอีกครั้ง
การเมืองในไวรัสเริ่มลดลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในเวลานี้ คือ ไวรัสในการเมือง…ที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่านักการเมืองเบอร์ใหญ่ในตำนานติดไวรัสการเมืองจากการกินกล้วยพร้อมไวน์ เริ่มแสดงอาการของโรคระบาดมาระยะหนึ่งหลังจากผ่านระยะฟักตัว แต่โชคดีที่มี “ไวรัสโคโรน่า” มาช่วยกลบข่าว ข่าวว่าอาการของไวรัสที่นักการเมืองเบอร์ใหญ่ในตำนานไปติดมาหลังจากไปกินกล้วยดิบกับเจ้าของสวนใหญ่ คือ อาการยื่นข้อเสนอการต่อรองตำแหน่งแห่งที่ทางการเมืองให้คนรอบข้าง เพื่อแลกกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือ อธิปรายพอเป็นพิธี อภิปรายแบบมวยล้มต้มประชาชน
ไวรัสในการเมือง นี้อันตรายมาก ถึงนักการเมืองใหญ่หลายท่านต้องออกมายืนยันว่านักการเมืองเบอร์ใหญ่ในตำนานไม่ได้ติดไวรัสการเมือง การอภิปรายครั้งนี้ ไม่มีการต่อรองใดใดทั้งสิ้น เอากันถึงล้มรัฐบาล จะเปิดโปงให้ประชาชนได้เห็นข้อมูลได้เห็นธาตุแท้ของรัฐบาล กระชากหน้ากากทราชในคราบนักบุญของรัฐบาลชุดนี้
แต่กระแสข่าวเรื่องนักการเมืองเบอร์ใหญ่ในตำนานติดไวรัสการเมืองจากการกินกล้วยพร้อมไวน์ ก็กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งเมื่อรายชื่อของรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมีการชักเข้าชักออกจาก 9 ท่าน เหลือ 6 ท่าน และ ข่าวมีข้อเสนอใหม่ที่ยากจะปฏิเสธ รวมทั้งข้อต่อรองเรื่องการไม่อภิปรายเรื่อง eec ทั้งที่เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจและกระทบชีวิตประชาชนจำนวนมาก
สร้างความคลางแคลงใจให้กับประชาชนอีกครั้งต่อจุดยืนทางการเมืองและการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านครั้งนี้ เพราะนี่ไม่ครั้งแรกที่ประชาชนโดยหลอก ประชาชนโดนหักหลัง อย่าคิดว่ามวลชลที่สนับสนุนพรรคมีความเข้มแข็งพอที่จะหาเหตุผลสนับสนุนเพื่อปลอบใจตนเองหลังจากทรยศประชาชนมาหลายครั้ง
สำหรับผม ไวรัสในการเมือง อันตรายกว่า การเมืองในไวรัส… คงต้องจับตามองการเมืองหลังจากการอภิปรายไม่วางใจเพื่อพิสูจน์อาการไวรัสในทางการเมืองว่าจะรุนแรงแค่ไหน หรือ เป็นแค่ fake news
โอฬาร ถิ่นบางเตียว