นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ขณะนี้ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยคาดว่าปี 2573 จะมีผู้สูงอายุประมาณ 17.4 ล้านคน หรือเกือบร้อยละ 30 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจหรือกำลังจะเริ่มต้นประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงอายุมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง เช่น บริการอาหาร–เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ วัสดุอุปกรณ์สำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจนำเที่ยว ศูนย์ออกกำลังกาย ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาล/สถานพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ ประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ ธุรกิจสันทนาการ และธุรกิจหลังความตาย ฯลฯ เป็นต้น ยิ่งจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมากเท่าไร…ความต้องการสินค้าและบริการเฉพาะของผู้สูงอายุก็ยิ่งได้รับความนิยมและมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น”
“ปัจจุบันธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจเอสเอ็มอีของไทย เริ่มหันมาสนใจผลิตสินค้าและบริการเฉพาะผู้สูงอายุมากขึ้น เนื่องจากเห็นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและเห็นผลกำไรที่ชัดเจน โดยกำหนดให้ผู้สูงอายุเป็นเป้าหมายหลักในการผลิตสินค้าและบริการ …ยึดหลักเข้าใจ เข้าถึง และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างตรงจุด จึงนับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจหรือเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตผู้สูงอายุจะกลายเป็นกลุ่มประชากรหลักของประเทศและมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถรองรับความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุได้จึงมีโอกาสเติบโตและประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก”
รมช.พณ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจดูแลผู้สูงอายุที่มีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันบุตรหลานมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการนำบุพการีมาฝาก ณ สถานดูแลผู้สูงอายุว่าไม่ได้เป็นการนำมาทิ้ง แต่เป็นการหาสังคมคนวัยเดียวกันให้แก่พ่อแม่ มีผู้ช่วยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และไม่ปล่อยให้ต้องโดดเดี่ยวคนเดียวยามที่ลูกหลานต้องไปทำงาน ทำให้สถานดูแลผู้สูงอายุได้รับความนิยมทั้งจากผู้สูงอายุเองและบุตรหลานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคล พบว่า ปี 2562 มีธุรกิจดูแลผู้สูงอายุจำนวนทั้งสิ้น 376 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 2,226 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุในไทย อีกทั้ง มีชาวต่างชาติวัยเกษียณเดินทางเข้ามาใช้บริการสถานดูแลผู้สูงอายุในไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมทุกด้านเช่น อาหาร สถานพยาบาล สถานที่พักผ่อน ผู้ดูแลมีจิตบริการ ฯลฯ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ดึงดูดชาวต่างชาติวัยเกษียณให้เดินทางเข้ามาใช้บริการมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุมีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการ”
“และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงอายุมากขึ้น จึงได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดทำโครงการ ‘อยู่เป็น’ ขึ้น เพื่อผลักดันให้ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงอายุมีความเข้มแข็งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน สามารถตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุและบุตรหลานได้อย่างครบวงจร ส่งเสริมให้ธุรกิจมีคุณภาพ มีมาตรฐาน เข้าถึงง่ายในราคาที่เหมาะสม รวมถึง เชิญชวนให้นักธุรกิจทั้งรายเดิมและรายใหม่หันมาสนใจประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุมากขึ้น และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการดูแลผู้สูงอายุระดับภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งรายได้มหาศาลเข้าประเทศ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้สูงอายุ ซึ่งโครงการ ‘อยู่เป็น’ มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 นี้ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นความรักระหว่างหนุ่มสาวเท่านั้น แต่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ระหว่างบุพการีและบุตรหลาน ตลอดจนผู้ใหญ่ที่รักและนับถือ จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบธุรกิจและผู้สนใจเข้าร่วมงานเปิดโครงการ ‘อยู่เป็น’ และร่วมฟังเสวนาเรื่อง การ ‘อยู่เป็น’ ของธุรกิจ A-List 2020 พร้อมชมสินค้านวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เช่น ระบบปฏิบัติการข้อมูลศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บริการปรับปรุงบ้านและอาคารเพื่อผู้สูงอายุ รวมทั้ง สินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุ ในวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ระหว่างเวลา 08.30 น. – 12.00 น. ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาธุรกิจการค้าชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ สำรองที่นั่งได้ที่ http://bit.ly/3aWSijV”
รมช.พณ.กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเข้าสู่วัยผู้สูงอายุแล้วก็ตาม แต่อยากเชิญชวนให้ผู้สูงอายุทุกคนชะลอความแก่ของตนเอง โดยหมั่นดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การฝึกจิตให้เป็นสมาธิ การพบแพทย์ตามกำหนด รวมถึง การบริหารสุขภาพจิตของตนเองซึ่งจะทำให้เป็นผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ สามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติได้อย่างต่อเนื่อง และไม่เป็นภาระแก่บุตรหลาน รวมทั้ง ขอเตือนให้คนหนุ่มสาววัยทำงานใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง ดูแลสุขภาพให้ดีแต่เนิ่นๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ และเก็บหอมรอมริบเพื่อสะสมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น เราจะเป็นผู้สูงวัยที่มีคุณภาพและมีความสุข”