นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า รู้สึกตกใจที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ และประกาศว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยินดีช่วยไทย ซึ่งน่าจะแสดงความไม่เข้าใจอย่างรุนแรง และ อยากให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ ประธาน ศอฉ. ได้พิจารณาปลดนายสมคิดออกจากตำแหน่งรองนายกฯ ทั้งนี้เพราะ นายสมคิดแสดงถึงความหมดสภาพในการบริหารเศรษฐกิจแล้ว อีกทั้งยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนอย่างไม่มีเหตุผลในภาวะวิกฤตการณ์นี้
ทั้งนี้เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมาก โดยล่าสุดมีอยู่ถึง 2.199 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องการความช่วยเหลือจาก ไอเอ็มเอฟ แต่อย่างใด ไม่เหมือนในปี 2540 ที่เกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยหายหมดจากการที่แบงก์ชาติเข้าไปสู้ค่าเงินบาทในขณะนั้น ซึ่งหากนายสมคิดยังไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ นายสมคิดก็ไม่ควรจะบริหารเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกต่อไปแล้ว และถ้าไอเอ็มเอฟต้องเข้ามาช่วยจริง ก็แสดงว่าการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลจะต้องล้มเหลวอย่างสุดขีด เพราะประเทศที่ต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วยจะเป็นประเทศที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจไม่มีเงินสำรองระหว่างประเทศเหลือแล้ว อีกทั้งการให้ไอเอ็มเอฟช่วย ประเทศต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงและยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างอื่นอีกมากมาย ซึ่งประเทศไทยไม่มีความจำเป็นเช่นนั้นเลย ไม่คิดเลยว่านายสมคิดจะไม่มีความรู้ในหลักการการเงินระหว่างประเทศพื้นฐานนี้เลย
ทั้งนี้นายสมคิดอาจจะตกใจที่เศรษฐกิจไทยทรุดต่ำลงหนักและรวดเร็วมาก เหมือนทุกเสาหลักเศรษฐกิจทรุด ตามที่นายสมคิดเคยพูดไว้เอง เลยสติหลุด ซึ่งเมื่อแบงก์ชาติบอกเศรษฐกิจไทยปีนี้จะถดถอยโดยจะติดลบถึง 5.3% นายสมคิดจึงอาจคิดเลยเถิดไปถึงการต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วยเหมือนในอดีต ทั้งที่ประเทศไทยอยู่ในสถานะต่างกันกับในอดีตมาก นายสมคิดอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าการพูดว่าไอเอ็มเอฟยินดีจะช่วยไทยเป็นการสร้างความมั่นใจ แต่แท้จริงแล้ว กลับเป็นการทำลายความมั่นใจให้ทรุดหนักมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าประเทศไทยจะต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วยก็หมายถึงประเทศไทยจะต้องล้มละลายแล้ว ซึ่งไม่จริง
อีกทั้ง นายอุตตม สาวนายน รมว. คลัง ยังกล้าบอกว่าไม่ตกใจกับตัวเลขเศรษฐกิจถดถอยที่ -5.3% ซึ่งหากนายอุตตมไม่ตกใจ คนไทยทั้งประเทศก็ควรจะต้องตกใจที่นายอุตตมไม่ตกใจ เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจจะหนักกันมาก ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างแสนสาหัส ทั้งนี้อย่าเพียงอ้างว่าเศรษฐกิจตกต่ำติดลบกันทั่วโลกจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจจะจริงบางส่วน แต่ประเทศไทยทรุดหนักมากสุด เพราะก่อนจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เศรษฐกิจไทยก็ทรุดหนักอยู่แล้ว เพราะไทยขยายตัวได้เพียง 1.6% เท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักมากกว่าประเทศอื่นมาก จากการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวมาตลอด 5 ปี
ส่วนการออก พรก. กู้เงิน 2 แสนล้านบาทนั้น ก็เห็นถึงความจำเป็นในภาวะเช่นนี้ และอาจจะต้องใช้มากกว่านี้ด้วย แต่ต้องระวังอย่าให้มีการทุจริตคอรับชั่น อีกทั้งประชาชนจำนวนมากสงสัยกันว่างบกลางจำนวนกว่า 5 แสนล้านบาท ถูกใช้ไปในเรื่องใดบ้าง ทำไมถึงหมดแล้ว และอยากให้นายสมคิดทำอย่างที่พูดไว้เองว่า “ไม่อยากให้นำไปใช้กระจัดกระจายไม่เกิดผลประโยชน์ในระยะยาว” เพราะ 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลนำงบประมาณจำนวนมหาศาลกว่า 17 ล้านล้านบาทไปใช้อย่าง อีลุ่ยฉุยแฉกไม่เห็นจะเกิดประโยชน์ในระยะยาวแต่อย่างไรเลย ประชาชนไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและประเทศก็ไม่ได้พัฒนา
ในภาวะวิกฤตนี้ รัฐบาลจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนพูด รัฐบาลจะพูดแบบไม่คิดเหมือนในภาวะปกติไม่ได้ เพราะผลกระทบจะมากกว่า รัฐบาลยังคงมีปัญหาอย่างมากในเรื่องการสื่อสารกับประชาชน และหากยังไม่แก้ไขและปล่อยให้เป็นแบบนี้ ความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจะลดลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือ