ถือเป็นโครงการที่มีคนพูดถึงกันมากว่าเป็นโครงการใหญ่ เป็นเสมือนหน้าตาประเทศ ไว้รอต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองในอนาคตสำหรับ “สัปปายะสภาสถาน” หรือ โครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ของประเทศไทยแทนที่อาคารเดิมบริเวณข้างสวนสัตว์ดุสิต
โครงการก่อสร้างตั้งอยู่ติดริ่มฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บนถนนทหาร (เกียกกาย) แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต โครงการได้ริเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 สมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ในการประชุมจัดหาสถานที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จนมีมติเลือกที่เดินราชพัสดุถนนทหาร (เกียกกาย) แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต เป็นสถานที่ในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่
โดยมีบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่นจำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง จากสัญญาการว่าจ้าง บริษัทต้องสร้างให้เสร็จภายใน 900 วัน หรือสิ้นสุดลงในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 แต่สุดท้ายก็ไม่เสร็จทันกำหนด จนต้องเลื่อนออกไป ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จบางส่วนในปี พ.ศ. 2561 โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จทั้งโครงการในช่วงปลายปี 2562
หนึ่งในปัญหาของการสร้างรัฐสภาใหม่ ตามคำยืนยันของ วิศวกรโครงการ คือสภาส่งพื้นที่บางส่วนแก่ผู้รับเหมาล่าช้า ได้แก่ บริเวณโรงเรียนโยธินบูรณะ ห้องสมุดกรุงเทพมหานคร บ้านพักกรมการอุตสาหกรรมทหาร และชุมชนองค์การทอผ้า กระทบกับแผนงานก่อสร้าง เพราะไม่มีพื้นที่วางวัสดุ อุปกรณ์
ส่งผลให้การดำเนินการการก่อสร้างไม่เป็นไปตามกำหนด
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า
“บริษัทรับงานก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ปี 2556 เป็นการก่อสร้างอาคารความสูง 11 ชั้นพื้นที่ 400,000 ตารางเมตร มีระยะเวลาก่อสร้างรวม 900 วัน แต่ที่ผ่านมาการก่อสร้างเป็นไปอย่างล่าช้า ปัญหาอยู่ตรงนี้คือการส่งมอบพื้นที่ของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ไม่เป็นไปตามสัญญาที่กำหนดไว้ จากเดิมต้องส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างทั้งหมดปี 2557 แต่เลื่อนมาเป็นปี 2559 หรือล่าช้ากว่ากำหนดนานเกินกว่า 2 ปี จากสัญญา แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะเร่งดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาใหม่ รวมทั้งจะเร่งดำเนินการก่อสร้างอาคารบางส่วนให้แล้วเสร็จภายในปีนี้เพื่อให้ข้าราชการและสมาชิกสภาได้เข้ามาทำงาน บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าปัญหาการก่อสร้างจะไม่ทำให้การก่อสร้างล่าช้าอีกแม้จะไม่มีกำไร ทั้งนี้จากการประเมินบริษัทซิโน-ไทยฯขาดทุนจากการดำเนินการก่อสร้างโครงการมูลค่าประมาน 3,000 ล้านตรงนี้คงมีการหารือกับทางรัฐสภาว่าจะชดเชยให้บริษัทได้มากแค่ไหน
ทั้งนี้บริษัทมีความเชื่อมั่นว่า หากไม่มีอุปสรรค มั่นใจว่าปลายปี 2562 จะส่งมอบอาคารทั้งหมดให้กับรัฐสภาได้อย่างแน่นอน
สำหรับการก่อสร้างที่จอดรถซึ่งต่างจากแบบเดิม ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของซิโน-ไทยฯ เช่นเดียวกับการวางระบบ ict ก็ไม่เกี่ยวของกับซิโน-ไทยฯ วอนสังคมเข้าใจ”
ล่าสุด มีความพยายามในการโยงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ให้เป็นเรื่องการเมือง คือการใช้วาทกรรมทางการเมืองที่ว่า ซิโน-ไทย กำลังใช้รัฐสภาใหม่หาเงินทุนหนุนกลุ่มพรรคการเมืองใหม่(สีเขียว) โดยมีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ผู้ก่อตั้งบริษัทและนายอนุทิน ชาญวีรกูล บุตรชาย อยู่เบื้องหลัง
ประเด็นดังกล่าว นายภาคภูมิระบุว่า
“นายชวรัตน์ และนายอนุทิน อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้น ทั้งสองท่าน เกษียณตัวเองไปนานแล้ว ไม่ได้เข้ามายุ่งกับการบริหารงานนานแล้ว โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้วางมือจากการบริหารงานในบริษัทมานานกว่า 10 ปี
การนำการเมืองมาโยงกับการทำงานของบริษัท ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัท ที่เกี่ยวพันกับคนอีกนับหมื่นชีวิต ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
คนที่กล่าวหา ไม่เป็นสุภาพบุรุษ และไม่เป็นธรรมกับคนที่ทำงาน ขอยืนยันว่าบริษัท ซิโน-ไทยฯเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลในการบริหาร นอกจากนั้นการฟอกเงินจากโครงการที่มีมูลค่างานประมาณ 12,000 กว่าล้านบาทให้เป็น 40,000 ล้านบาท คนที่โจมตีเรื่องนี้มาจากการมโนหรือคิดเอาเองโดยไม่สุจริตใจและหวังผลทางการเมือง โดยไม่ยึดหลักความเป็นจริงแต่อย่างใด”
น้อยครั้งนักที่เอกชนอย่าง “ซิโน-ไทยฯ” จะเคลื่อนไหว ตอบโต้ทางการเมือง
แน่นอนว่าใครจะถูก ใครจะผิด สังคมจะเป็นคนให้คำตอบในที่สุด
Ringsideการเมือง