นาย เอกชัย ไชยนุวัติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามเปิดเผยกับทีมข่าวริงไซด์การเมือง ถึง กรณีที่มีการกล่าวหานายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เรื่องการก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ โดย “บางสื่อ” ซึ่งมีผู้ถือหุ้นคนเดียวกัน ว่า เป็นการดำเนินการที่หวังผลทางการเมือง ด้วยการใส่ร้ายให้เกิดความเสียหาย ในสังคมไทยเรื่องแบบนี้เกิดมาตั้งแต่อดีต สมัยปี 2519 กรณีการโจมตีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ กรณีที่เกิดขึ้นกับท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งก็เกิดมาจากการใส่ร้ายที่หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ สุดท้ายความจริงปรากฏ แต่ก็ไม่มีใครมาพูดถึงกัน สังคมไทยไม่เคยก้าวข้ามการทำลายกันทางการเมืองได้ดังนั้นผู้ที่ถูกใส่ร้ายจำเป็นที่จะต้องดำเนินการทางกฎหมาย โดยการฟ้องร้องต่อศาลในข้อหาหมิ่นประมาท เพื่อให้สื่อหรือคณะบุคคลที่ดำเนินการเรื่องนี้ ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อหาข้อเท็จจริง
“ตนมองว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้เสียหายควรที่จะดำเนินการทางกฏหมายจนถึงที่สุด เพราะถือเป็นการต้องการทำลาย ไม่ใช่ติชมในทางสร้างสรรค์”
ผศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในเรื่องเดียวกัน ว่า การดำเนินการเช่นนี้เป็นการใช้กลยุทธ์ทางการเมืองมาทำลายศัตรูทางการเมือง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายการเมืองใช้มาตลอด เพราะการโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ดูที่ข้อเท็จจริง หลักการและเหตุผลในการดำเนินการให้ข้อมูลข่าวสาร แต่บิดเบือน เล่นนอกกติกา ชกใต้เข็มขัด ไม่ยอมรับเหตุผลอีกฝ่าย เป็นมานานแล้วในสังคมไทยเป็นการใช้วิธีการที่สกปรก ฝ่ายตรงข้ามที่มองว่าต้องทำลายก็จะดำเนินการเล่นเกมด้วยการสาดโคลน ขุดคุ้ยอดีต เอาประวัติเก่าๆมาเล่นงาน เพราะเชื่อว่าหากเล่นกันตามกติกา หรือ สู้ในสนามการเมืองไม่มีทางชนะแน่นอน จึงต้องทำลาย
กลยุทธ์ แบบนี้เป็นของเก่าที่นักการเมืองหัวเก่าชอบใช้ในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ยิ่งกระแสนักการเมืองคนรุ่นใหม่มาแรงและได้รับการยอมรับมากขึ้นจำต้องหาทางเล่นงาน เล่นนอกกฎกติกา ไม่สนวิธีการเพียงหวังทำลายชื่อเสียงหวังผลทางการเมืองมากกว่า นี่คือวิธีการที่สกปรกของสังคมไทยที่คนบางกลุ่มบางพวกมักใช้เล่นงานคนอื่น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
http://https://https://www.newsringside.com/2710/
http://https://https://www.newsringside.com/2524/
http://m.thansettakij.com/content/95014
https://www.matichon.co.th/news/254932
https://news.mthai.com/economy-news/406679.html