พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธี สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์กับรายการRingsideการเมือง วิเคราะห์สถานการณ์ประเทศไทยว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ต่างจากครั้งที่ผ่านมาคือ กระแสชั่วครู่ชั่วคราว ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นคะแนนได้ เพราะประชาชนมีบัตรในมือใบเดียวต้องเลือกจากความรักและศรัทธา ผลลัพท์คือพรรคเก่าจะรักษาฐานที่มั่นไว้ได้ ขณะที่พรรคเกิดใหม่ ไม่น่าจะได้คะแนนมากนัก แม้กระทั่งพรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็อาจจะล้มเหลวในการเลือกตั้ง เพราะกระแสในโซเชียล ไม่สามารถเอามาวัดกับโลกแห่งความเป็นจริง คุณขับรถผ่านกรุงเทพไป ก็ไม่มีใครรู้จักธนาธรแล้ว เขารู้จักเฉพาะนักการเมืองท้องถิ่นของเขา
แม้พรรคเก่าจะโกยคะแนน แต่อย่าไปหวังว่าจะมีพรรคหนึ่งชนะแบบเบ็ดเสร็จ เพราะกติกาใหม่ที่ออกมาเขาทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้พรรคการเมืองมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ส่วนตัวเชื่อว่า เพื่อไทยก็ได้แค่ 100 กว่าเสียง ประชาธิปัตย์ก็ได้แค่ 100 กว่าเสียง ทีเหลือก็ไปแบ่งกันใน 7 – 8 พรรค
เขาพยายามวางเกมให้เกิดการต่อรอง ซึ่งในสนามนี้ ฝ่ายทหารได้ประโยชน์เพราะมีอำนาจ ดังนั้น หากหวังจะได้นายกรัฐมนตรี “คนใน” มีทางเดียวคือพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ต้องจับมือกันก่อน ส่วนเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ ก็ค่อยไปว่าทีหลัง ประชาธิปไตยไทย มันเร่งร้อนไม่ได้ แต่หากเพื่อไทยไปทาง ประชาธิปัตย์ไปทาง แบบที่แล้วมาคือจบ
“ฝ่ายการเมืองหากอยากเห็นประชาธิปไตย ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายเขามีอำนาจเต็ม ก็ต้องลดละความเกลียดชังกันไปก่อน ผมเสนอให้เริ่มจากการหาเสียง ก็ขายนโยบายกันอย่างเดียวอย่าไปโจมตีใคร เรื่องเลวร้าย หากเป็นข่าวลืออย่าไปพูดถึง เพราะถ้าพูดไปแล้ว มันไม่จบ เรื่องที่อยู่ในศาล ก็ให้ศาลเขาตัดสิน มันจะได้ลดทิฐิระหว่างกัน”
พลเอกเอกชัย กล่าวต่อว่า หลังเลือกตั้ง มีแนวโน้วว่าบ้านเมืองจะวุ่นวาย เรื่องเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เพราะแม้รัฐธรรมนูญจะเขียนทางกันทางแก้ไว้แล้ว แต่ตนไม่เชื่อตัวหนังสือ ตนวิเคราะห์ประเมินจากความจริง ที่ยังเห็นว่าแต่ละฝ่ายยังขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติทางการเมือง คนบ้านเดียวกันยังทะเลาะกันเลย นับประสาอะไรกับคนเป็นล้านคน
“ส่วนตัวมองว่าอย่าไปกังวลเรื่องความขัดแย้งเลย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้ากลัวความขัดแย้ง แล้วเข้ามาแทรกแซงทุกครั้ง ความขัดแย้งมันไม่ได้หายไปไหนหรอก แต่มันดำรงอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ อาจจะเปลี่ยนเป้าหมาย ดังนั้น อย่าไปคิดกับมันมาก ปล่อยให้ประชาชนเขาจัดการกันเองดีกว่า”