จับต้นชนปลายกันไม่ถูกกับศึกความขัดแย้งรอบใหม่ ที่ฝ่ายเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ดาหน้าถล่มเรื่องการใช้งบของแต่ละฝ่าย
ฝ่ายประชาธิปัตย์ว่าเพื่อไทยกั๊กงบลงใต้ ฝ่ายเพื่อไทย ตอบโต้เดือด ไม่ยอมโดนโจมตีฝ่ายเดียว
เรื่องของเรื่อง ต้องย้อนกลับไปในวันที่นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เอาข่าวเก่า มาเล่าใหม่ ระบุว่า คสช. จัดงบลงใต้ มากกว่ายุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ร้อนถึงนายกิตติรัต์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แกนนำพรรคเพื่อไทย ต้องออกมาถามกลับ เรื่องการจัดงบพัฒนาประเทศ มีกรรมาธิการจากฝ่ายประชาธิปัตย์เข้าร่วมด้วย หากฝ่ายเพื่อไทยไม่แยแสคนใต้ ไฉนกรรมาธิการฝ่ายประชาธิปัตย์ถึงไม่ออกมาโวย ก่อนตบท้ายแสบๆ
“โถมีดโกนหมดมุก ท่านหวังสร้างความเท็จ สร้างความเกลียด หรือหวังจะเลียรองเท้าบูต”
ด้านนายนิพิษฐ์ อิทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระเบิดศึกต่อเนื่อง โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุว่า
เรื่องใช้ภาษีอากรที่เก็บจากคนทั้งชาติมาต่อรองประชาชนให้เลือกพรรคตัวเองเหมือนเป็นเงินส่วนตัวของตัวเอง พรรคเพื่อไทยทำมาตลอด เริ่มตั้งแต่
1.นายทักษิณ ชินวัตร พูดที่หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2548 ความว่า”จังหวัดนี้ต้องได้รับสิทธิในการได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ผมตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจเรา เราต้องดูแลเป็นพิเศษ”
2.นายปลอดประสพ สุรัสวดี ปราศรัยที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2556 กรณีการสร้างศูนย์ประชุมนานานชาติจังหวัดภูเก็ตว่า “วันหน้าจะสร้างแน่นอน เมื่อเขาเห็นความดีของพวกเรา แล้วเลือกคนของเรา วันนั้นผมจะไปทำให้ วันนี้ไม่มีอารมณ์..”
ฝ่ายเพื่อไทยหนี ไม่ออก แต่เชื่อว่าเรื่องไม่จบแน่นอน
การเมือง เรื่องภาคนิยม กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เรียกสำนึกความเป็นคนภาคกลาง ใต้ อีสาน เหนือ ให้ลุกโชนดั่งสงครามกำลังก่อตัว สะท้อนภาพ 2 พรรค แย่งชิงมวลชนก่อนเลือกตั้ง ผ่านวิถีทางการเมืองแบบเดิม
“ชี้หน้าด่ากันไปมา” ภายใต้หลักคิดง่ายๆ “เขามาได้ เราตายแน่”
น่าเสียดายที่ทั้ง 2 พรรค มีมวลชนอยู่ในมือมากมาย หากสามัคคีกันแล้ว ย่อมเกิดเป็นมรรคผลแก่ประชาชน ยิ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ฝ่ายอำนาจนอกระบบจ้องจะไปต่อ หาก 2 พรรคใหญ่ สามารถแตะมือร่วมกันต้านอำนาจมืด ย่อมทำสำเร็จ แต่อ่านเกมที่กำลังเดินกันอยู่ ต้องบอกว่า “สิ้นหวัง” เพราะทั้ง 2 พรรคกลายเป็นศัตรูชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ
พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีสถาบันพระปกเกล้า เคยกล่าวไว้ว่า
“ฝ่ายการเมืองหากอยากเห็นประชาธิปไตย ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายเขามีอำนาจเต็ม ก็ต้องลดละความเกลียดชังกันไปก่อน ผมเสนอให้เริ่มจากการหาเสียง ก็ขายนโยบายกันอย่างเดียวอย่าไปโจมตีใคร เรื่องเลวร้าย หากเป็นข่าวลืออย่าไปพูดถึง เพราะถ้าพูดไปแล้ว มันไม่จบ เรื่องที่อยู่ในศาล ก็ให้ศาลเขาตัดสิน มันจะได้ลดทิฐิระหว่างกัน”
ความหวังของนายทหารสายพิราบจบลงแล้ว
เพราะนอกจากทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่ ยังนิยมใช้ความชิงชังหาคะแนนให้ตัวเอง
ในสังคมไทย และในแต่ละฝ่ายการเมือง ยังมีกลุ่มผลประโยชน์ที่ได้ดีจากความขัดแย้ง ที่จะตกงานทันที หากบ้านเมืองสงบสุข โดยไม่สนใจเลยว่าความสงบสุขจะสร้างคุณให้กับชาติแค่ไหน หรือประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากความสงบสุขนั้น
หลายคนแม้ปากจะอ้างต้านทหาร แต่ก็มักจะสร้างเงื่อนไข ให้ทหารมีช่องมาเอ็กเซอร์ไซด์อำนาจ
คนกลุ่มนี้ เพียงหวังให้เกิดความขัดแย้ง ในชาติ และหาทางต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ โดยไม่หวังชัยชนะ ขณะเดียวกัน ยังปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้เห็นทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น เพราะหวังให้บ้านเมืองคงอยู่ในวังวนวุ่นวายไม่รู้จบ
ด้วยสุดท้ายเป้าหมายมีอย่างเดียวคือ
“รวย”
Ringsideการเมือง