นายวราวุธ ศิลปอาชา ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงแนวทางการทำงานของพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า ในส่วนของพรรคเชื่อว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน จากเดิมที่พรรคชาติไทยพัฒนามีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นจุดศูนย์กลางพรรค หลังจากนี้เมื่อนายบรรหารถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว การทำงานในพรรคจะเปลี่ยนไป ใช้หลักการทำงานเป็นทีมผสมผสานระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า การตัดสินใจมาจากคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งแนวนโยบายและการทำงานของพรรค จะใช้มติพรรคเป็นตัวขับเคลื่อน นอกจากนี้แนวทางที่นายบรรหารเคยทำไว้ คือ ไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่ถือโทษโกรธใคร เป็นมิตรกับทุกพรรคก็ยังคงอยู่ ซึ่งเราจะใช้เป็นแนวทางหลักของพรรค ในส่วนของพันธมิตรพรรคการเมืองนั้นทุกพรรคเป็นพันธมิตรกันหมด ทุกพรรครู้จักตนหมดการทำงานร่วมกันในอนาคตไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนการจะเป็นรัฐบาลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพรรคที่ได้อันดับหนึ่งจะเป็นผู้กำหนด เพราะพรรคเองตั้งเป้าว่าน่าจะได้ส.ส.ประมาณ 30 กว่าเสียง เราต้องยอมรับในความเป็นพรรคขนาดกลาง
ปัจจุบันการเมืองไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น จากเดิมที่หลังการเลือกตั้งก็จัดตั้งรัฐบาลตามสูตรคนิตศาสตร์ จากเดิมการเมืองไทยมี 2 ขั้ว คือพรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ปัจจุบันมีขั้วที่ 3 คือการมีพรรคการเมืองที่มีความใกล้ชิดกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช. หรือพรรคคสช.ซึ่งทั้ง 2 ขั้วการเมืองเดิมประกาศชัดเจนแล้วว่าจะไม่ร่วมกับพรรคคสช.อย่างแน่นอน ดังนั้นการเมืองในอนาคตน่าจับตามอง เพราะการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน นอกจากนี้หลังเลือกตั้ง 2 ขั้วพรรคการเมืองเดิมจะมาจับมือกันหรือเปล่า เพราะเมื่อทั้งคู่ไม่เอาคสช.เช่นกัน ดังนั้นคงต้องรอดูผลการเลือกตั้งว่าจะเป็นเช่นไร พรรคไหนจะเป็นรัฐบาล หรือ พรรคประชาธิปัตย์สุดท้ายจะจับมือร่วมกับพรรคทหารหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามว่า สูตรจัดตั้งรัฐบาลจะออกมาอย่างไร มีพรรคไหนบ้าง ซึ่งการเมืองยังคงไม่สามารถให้ความเห็นอะไรได้มากนัก เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในการเมืองไทย
นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคการเมืองระดับกลางนั้น อยากให้หันมาวิเคราะห์กันมากขึ้น เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าพรรคไหนจะได้จำนวนส.ส.เท่าไหร่ การเลือกตั้งยังไม่เกิดอย่าคาดเดา ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา คงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักรอผลการเลือกตั้งออกมาก่อน คงไม่สมารถที่จะบอกว่าจะไปร่วมกับพรรคไหน เพราะขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง และหากจะไปร่วมกับพรรคใดรอให้พรรคอันดับหนึ่งมาเชิญก่อนดีกว่า ถึงจะมาพูดกันมาตกลงกันในเรื่องของนโยบาย เพราะแต่ละพรรคก็มีแนวทางการทำงานที่ต่างกันไป พรรคอันดับกลางอย่างเราไม่สามารถที่จะไปกำหนดอะไรได้ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งและการตัดสินใจของประชาชน และอยู่ตรงไหนสามารถทำงานเพื่อประเทศชาติได้เราก็พร้อมเข้าร่วมด้วย
นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการย้ายพรรคของนักการเมือง เป็นเรื่องที่มีมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น ทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ชาติไทยพัฒนา ก็เคยดูดพรรคการเมืองอื่นมาอยู่ด้วย ไม่ใช่เรื่องใหม่หรืออะไร ในส่วนของพรรคล่าสุดก็มีอดีตส.ส.ของพรรคโดดดูดไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นเพราะพรรคการเมืองมีออกมีเข้า ซึ่งเร็วเกินไปว่าจะเหลือเท่าไหร่ และสุดท้ายพรรคจะมีส.ส.เหลือกี่คน จะได้เท่าไหร่เราก็พร้อมที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ พรรคผ่านมาแล้วทั้งเป็นรัฐบาลและเป็นฝ่ายค้านเคยเป็นมาหมด ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นผลการเลือกตั้งจะเป็นผู้กำหนดโฉมหน้ารัฐบาลต่อไป