นายอาทิตย์ ทองอินทร์ อ.ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวถึงกรณีที่จังหวัดบุรีรัมย์ จัดกิจกรรมขนาดใหญ่ เพื่อต้อนรับการมาเยือนของคณะรัฐมนตรีว่า
คิดว่าภูมิใจไทยดูทิศทางลมทางการเมือง เป้าหลักคือผลประโยชน์ ต่อบุคคล ตัวพรรค ต่อประชาชนในพื้นที่ มิใช่เลือกข้าง เดาว่า งานนี้ เป็นการโชว์ขนาดอำนาจและ งานในมือ ไม่เพียงแต่ต่อ “บิ๊กตู่” แต่ต่อผู้ชมทุกฝ่ายด้วย ต่อมาก็รอฝั่ง พท. และพวกไม่เอานายกคนนอก จะมีข้อเสนออะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้สามารถคุยได้จนผลเลือกตั้งออก ถึงจะรู้ว่าภูมิใจไทย จะไปทางไหน
พรรคการเมืองไทยหลายพรรค มีฐานทางกายภาพที่มั่นเฉพาะของตนเอง และมุ่งทำงานการเมืองเพื่อวิ่งเข้าจับอำนาจรัฐเพื่อต่อรอง งบประมาณ โครงการ อำนาจ ผลประโยชน์ ลงสู่พื้นที่ที่มั่นของตนเอง ส่วนความสัมพันธ์ภายในพื้นที่ที่มั่นก็จะเล่นบทผู้อุปถัมภ์ อุปถัมภ์ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ จิปาถะในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
อาศัยช่องว่างของการที่รัฐในสมัยก่อนไม่มีประสิทธิภาพจัดสรรบริการสาธารณะและทรัพยากรไปได้อย่างทั่วถึงเสมอภาค คนเหล่านี้มาอุดช่องว่างของการดูแลพื้นที่ที่มั่นของตน และสั่งสมบารมีขึ้นมา เป็นการทำงานการเมืองดั้งเดิม ในขณะที่รูปแบบใหม่ มีการวิวัฒน์ขึ้นมาจากรัฐธรรมนูญ 2540 มันทำให้ชาวบ้าน สายสัมพันธ์ ความคาดหวังของพวกเขา วิ่งตรงต่อกับรัฐโดยตรง โดยไม่จำต้องผ่านคนกลาง
ท่าทีของ ภูมิใจไทย ต่อกรณีรับ “บิ๊กตู่” สะท้อนให้กังวลว่าพวกเขานิยมเล่นการเมืองแบบเดิม คือหาช่องนำผลประโยชน์มาลงกับพื้นที่ตัวเอง สมัยก่อนมันอาจจะเป็นกระบวนการที่สมเหตุสมผล แต่หากในอนาคต พรรคต้องการขยายขนาดของพรรค จำเป็นต้องเป็นความหวังของประชาชนทั้งประเทศ ไมใช่จำกัดเพียงพื้นที่หนึ่งพื้นที่ใด
ด้านนายบุญเลิศ คชายุทธเดช สื่อมวลชน อิสระ ระบุว่า พรรคภูมิใจไทย วางตัวเป็นกลาง พร้อมจะพูดคุยกับทุกฝ่าย เหตุการณ์ที่บุรีรัมย์ คือไมตรีที่พรรคภูมิใจไทยมอบให้กับฝ่ายผู้มีอำนาจ แต่ยังไม่ใช่การร่วมหัวจมท้าย เพราะมีโอกาสเลือกอีก หลังเลือกตั้ง ที่วันนั้น พรรคภูมิใจ และทุกพรรคการเมือง จะต้องตัดสินใจอย่างละเอียด เนื่องจากการเมืองไทยในอนาคต ไม่ใช่จบแค่เสียง ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะในตำแหน่งที่นั่ง ส.ว. แต่งตั้ง ก็มีผู้นำเหล่าทัพนั่งอยู่ด้วย