นายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงภาพรวมของพรรคในการเลือกตั้งในพื้นที่อีสานว่า พรรคพร้อมแล้วในการลงสนาม ไม่ว่าจะพื้นที่ไหนก็ตาม ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้ง 20 จังหวัด รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กำหนดให้มี ส.ส.เขต 350 คน ลดลงจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่กำหนดให้มี ส.ส.เขต 375 คน ทำให้การชิงชัยเก้าอี้ ส.ส.เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านพรรคภูมิใจไทยยังสามารถฝ่าด่านเข้ามาปักธงในพื้นที่อีสานได้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ด้วยกิจกรรมและการให้ความสำคัญกับพื้นที่อีสานมาโดยตลอด รวมทั้งส.ส.ของพรรคก็ไม่เคยทิ้งพื้นที่ไปไหน ส่งผลให้ผู้สมัครของพรรคยังคงได้รับความนิยมจากประชาชนในพื้นที่พอสมควร ดังนั้นในสถานการณ์ขณะนี้และรูปแบบการเลือกตั้งใหม่ หลายฝ่ายมองว่าทิศทางว่าพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสเป็นพรรคลำดับ 3
การจัดทัพในขณะนี้กำลังทำอยู่ ที่จัดได้ครบแล้ว เช่น จ.อุดรธานี หนองบัวลำภู แต่พรรคไม่สามารถประกาศได้ เพราะถือเป็นกิจกรรมทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคภูมิใจไทยจะมีแต่กำไร ไม่มีคำว่าขาดทุน เพราะผู้สมัครของพรรคล้วนมีประสบการณ์และมีแสงในตัวเอง ดังนั้น ตัวเลขผู้แทนฯจะไม่น้อยกว่าเดิมอย่างแน่นอน
สำหรับ จ.บุรีรัมย์ มั่นใจว่าผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยจะได้รับการเลือกตั้งทุกเขตในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยกระแสความนิยมในการพัฒนาของนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับพรรค แต่คนยังมองในแง่ความผูกพัน อีกทั้งผู้แทนในพรรค ภท.ก็มีส่วนผลักดันให้การพัฒนาบุรีรัมย์เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ถ้าย้อนหลังกลับไป ภาพการพัฒนายังไม่เห็นเป็นรูปธรรม กระแสของพรรคอื่นจึงสอดแทรกเข้ามาบ้าง
ส่วนพื้นที่อื่น ในทางการเมืองถือเป็นเรื่องธรรมดาที่พื้นที่เจ้าภาพของแต่ละพรรคการเมือง รวมถึงมีพื้นที่ที่แต่ละพรรคต้องไปแสวงหา บางครั้งในพื้นที่เจ้าภาพเราก็ทำได้แค่ส่งผู้สมัครไปขอคะแนน อย่างไรก็ตามโอกาสในการต่อสู้ก็พอจะมีอยู่ แต่พรรคต้องมีโอกาสสื่อสารกับประชาชนในเรื่องแนวทางการพัฒนา ที่ยังติดคำสั่ง คสช. ทำให้พรรคไม่สามารถพูดอะไรได้
“ความจริง พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายระดับมหภาค พัฒนาภาพรวมทั้งประเทศ เน้นการกระจายอำนาจ ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง แต่คนยังไปมองแต่บุรีรัมย์โมเดล ซึ่งก็น่าเสียดาย ทั้งในส่วนของพรรค ที่ไม่มีโอกาสจะบอกว่าเราไม่ใช่พรรคระดับท้องถิ่นอีกต่อไป แต่มุ่งหวังเป็นพรรคระดับชาติ และในส่วนของประชาชน ที่ยังไม่มีโอกาสได้เห็นนโยบาย ที่เป็นทางเลือกใหม่”