รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้ความเห็นในรายการริงไซด์นิวส์ ต่อคำถามเรื่อง 4 ปี ภายใต้การบริหารประเทศของ คสช. นักการเมืองเรียนรู้อะไรบ้างว่า ตนไม่รู้สึกว่านักการเมืองจะได้เรียนรู้อะไร เพราะ มัวแต่ไปหาแพะรับบาปว่าใครเป็นคนดึงทหารเข้ามา ทั้งที่ความจริงตัวนักการเมืองก็เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้เกิดการยึดอำนาจ
“ผ่านมา 4 ปี ผมยังเห็นนักการเมืองเอาข้อมูลจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ออกมาชี้หน้าด่ากันเองอยู่เลย ก็ขนาดนักการเมืองยังบอกว่าตัวเองเลว แล้วจะให้สังคมเขาเชื่อว่าคุณเป็นคนดีได้อย่างไร ที่พูดมาผมไม่ได้แอนตี้เรื่องการตรวจสอบ แต่ข้อมูลที่ฝ่ายการเมืองยกมาถล่มกัน ผมเห็นว่าหลายอย่างมันเกินเลยไปมาก ข้อมูลจำนวนไม่น้อย ดูเป็นเรื่องของจินตนาการมากกว่าข้อเท็จจริง กลับกัน ฝ่ายอำนาจนอกระบบ เขาช่วยเหลือกัน ปกป้องกัน เขามีเอกภาพ เวลาเขาเจอปัญหาเขาก็ผนึกกำลังกันหาทางออก ตรงนี้คือสิ่งที่นักการเมืองขาดหายไป”
เมื่อถามต่อว่าหาก “บิ๊กตู่” จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยพฤษภาทมิฬหรือไม่ รศ.สุขุม ตอบว่า ไม่ว่า “บิ๊กตู่” จะกลับเข้ามาในรูปแบบของ “คนใน” หรือ “คนนอก” ก็จะไม่มีเหตุการณ์ประชาชนลุกฮือประท้วง เพราะ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มันเกิดจากฝ่ายกองทัพดูถูกประชาชน บวกกับกระแสประชาธิปไตยมันแรง หากยังจำกันได้ ช่วงปี 34 – 35 พลเอกสุจินดา คราประยูร แสดงท่าทางเหมือนว่าประชาชนเป็นหมูเซื่องๆ ถึงขั้นไปบอกว่าถ้าตนไม่เป็นจะให้เพื่อนเป็น ต่อมาก็บอกจะไม่เป็นนายกฯ ระหว่างนั้น ก็ให้คนของกองทัพไปอยู่ตามพรรคต่างๆ แล้วสุดท้ายก็อ้างเสียสัตย์เพื่อชาติ กลับมาเป็นนายกฯเฉย ประชาชนเขาก็ยอมไม่ได้ มันเหมือนถูกดูถูก แต่พลเอกประยุทธ์เขาไม่ทำอย่างนั้น เขาถอดบทเรียนจากคนรุ่นก่อน อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นเรื่องเลื่อนเลือกตั้ง เพราะท่านเลื่อนไปเรื่อย แต่ก็คิดว่า มันไม่ได้สร้างความอึดอัด ถึงขั้นประชาชนจะลุกมาต้านท่านกลางถนน ที่สำคัญยังมีประชาชนชอบบิ๊กตู่อีกจำนวนมาก ล่าสุด ก็ช่วยกันดันจนรัฐธรรมนูญผ่าน ฟันธงเลยว่า ไม่มีทางเกิดพฤษภาทมิฬแน่นอน
สำหรับในเรื่องการปฏิรูปประเทศ รศ.สุขุม ระบุว่า ให้ได้แค่ 3 เต็ม 10 เพราะ การปฏิรูปมันต้องกล้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง แต่ส่วนตัวยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ส่วนที่คนของรัฐบาลบอกว่าประชาชนจะเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 8 เดือน ตนไม่เชื่อ เพราะยิ่งใกล้เลือกตั้ง ยิ่งไม่อยากเปลี่ยน เพราะกลัวเสียแนวร่วมที่มีอยู่เดิม
ขอบคุณภาพ : มติชน