นายแพทย์สลักธรรม โตจิราการ โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว ถึงกรณีที่ กระทรวงการคลังออกระเบียบว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 ระบุว่า หากกระทรวงใด หรือหน่วยงานใดจะจ้างพนักงานหรือลูกจ้าง ต้องขอให้ทางปลัดกระทรวงการการคลังพิจารณา ทำให้โรงพยาบาลทุกระดับของกระทรวงสาธารณสุขได้รับผลกระทบในการว่าจ้าง ขณะเดียวกันลูกจ้างพนักงานฯก็เช่นกัน ซึ่งเงินงบประมาณจะเกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข มากที่สุด เนื่องจากมีโรงพยาบาลที่มีเงินบำรุง ขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการก็เช่นกัน กระทั่งชมรมแพทย์ชนบทต้องออกมาโพสต์ชวนให้ทุกโรงพยาบาลติดป้ายคัดค้านประกาศเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ นายแพทย์สลักธรรม มองว่า กรณีที่เห็นหมอ พยาบาล เภสัช และบุคลากรสาธารณสุขหลายคนออกมาแสดงโมโหมากที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังออกระเบียบห้ามจ้างลูกจ้างชั่วคราวเองต้องขออนุมัติกระทรวงการคลัง ลูกจ้างที่มีอยู่แล้วก็ให้ออกตอนหมดสัญญา เรื่องนี้กระทบโรงพยาบาลรัฐมาก เพราะรพ.เหล่านี้คนไม่พอ ต้องหาคนโดยจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราวไว้ก่อนโดยมีสัญญาใจว่าจะได้บรรจุในภายหลัง บางที่ที่ฝึกแพทย์ประจำบ้านถ้าคนที่มาฝึกไม่มีต้นสังกัดก็ต้องจ้างแพทย์เหล่านี้เป็นลูกจ้างชั่วคราว ถ้าไม่ให้รพ.จ้างคนเหล่านี้จะไม่มีสิทธิ์ทำงานในรพ.เลย
นี่แหละรัฐไทยที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร ตามอุดมคติเลย ก็คือความปรารถนาที่จะสร้างรัฐรวมศูนย์ที่ทุกอย่างต้องขึ้นต่อกลไกราชการ”ส่วนกลาง”ทั้งทางตรงและแอบแฝง(เช่นองค์กรอิสระและวุฒิสมาชิกที่เป็นที่รวมของข้าราชการเกษียณ) ก็จะบอกไว้เลยว่าเดิมระบบประชาธิปไตยเขาให้”นักการเมือง”เข้าไปควบคุมระบบราชการให้พอจะมีทิศทางไปตามที่ประชาชนต้องการได้บ้าง พอลดบทบาทนักการเมือง ระบบราชการก็โตกลายเป็นรัฐราชการแบบที่ไม่มีใครขวาง
ที่น่าสงสารคือหมอหลายคนเหล่านี้มีส่วนร่วมสร้างโอกาสให้รัฐบาลแบบนี้เข้ามา โดยการหนุน “ปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง (เพื่อกำจัดอำนาจของนักการเมือง)” ของ กปปส.และพรรคพวก
และพอเตือนว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะสร้างรัฐราชการรวมศูนย์ตั้งแต่ช่วงมีม็อบ กปปส. ก่อนรัฐประหาร ก็หาว่าคนที่เตือนเป็น “ลูกน้องนักการเมือง”สรุปแล้ว “ต้องรอให้โดนกับตัวเองจึงจะสำนึกได้
ด้าน นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยระหว่างการเดินทางมาประชุมในเวทีสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 71 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ว่า ทราบเรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนได้โทรศัพท์ประสานไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังถึง 2 ครั้ง ว่า ประกาศดังกล่าวหากออกมาจะกระทบกับทางกระทรวงสาธารณสุขมาก ซึ่งในวันนี้ (23 พ.ค.) ได้มอบหมายให้ทางผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ และทางปลัดกระทรวงฯ พร้อมทั้งผู้บริหารเข้าหารือกับทางกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้พิจารณาหาทางออกเรื่องดังกล่าว เพราะหากประกาศใช้จะมีผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ขอให้ลูกจ้างพนักงานกระทรวงฯ ทั้งหมดอย่างเพิ่งตกใจ ขอให้ใจเย็นๆ ทางผู้บริหารกระทรวงฯ ไม่นิ่งเฉย จะหาทางช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ