ถือเป็นประเด็นใหญ่มากสำหรับกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง แจงกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ ทำผิดกฏหมายรัฐธรรมนถูญด้วย นางนรีรัตน์ ปรมัตถ์วินัย ภริยา ถือครองหุ้นเกินกว่า 5% ตามที่กฏหมายกำหนด ถือเป็นประเด็นที่มีคนกล่าวถึงมากมายเพราะหากเป็นรัฐบาลปกติจะต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะกระทำในสิ่งที่กฏหมายห้าม เช่นเดียวกับกรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ อดีต รมว.สาธารณสุข แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่เป็นหุ้นที่ ของนางจุไร สะสมทรัพย์ คู่สมรสถือเกิน 5 % เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ต่างจากกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีที่กระเด็นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะไปจัดรายการคุยโขมง 6 โมงเช้า แล้วมีการจ่ายค่าน้ำมันรถที่ไปร่วมรายการ ศาลตีความว่าเป็นลูกจ้าง ถือเป็นการผิดกฏหมายทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังมีกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่งพร้อมจำคุก 2 ปี จากรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ไปซื้อที่ดิน ถือว่าเป็นการทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่เพราะเมียไปซื้อที่ดิน แต่ไม่ได้ผิดกรณีการทุจริต แต่ก็ผิดอยู่ดี
ดังนั้นกรณีของนายดอนไม่ต่างจากรณีเหล่านี้ เพราะสามีภรรยาตามกฏหมายมองว่าเป็นคนๆเดียวกัน เมื่อเมียทำผิดผัวก็ต้องผิดด้วย แต่จะร้ายแรงแค่ไหนก็ว่ากันอีกที แม้ทางการจะออกมายืนยันว่าไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งไม่จำเป็นต้องแสดงสปิริตทางการเมือง เพราะไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แต่เมื่อมันคือความผิดมันก็ผิดอยู่ดี
บรรดาลูกหาบของผู้มีอำนาจต่างออกมาปกป้องทั้ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายเสรี สุวรรณภานนท์ หรือแม้แต่กกต.เองก็บอกไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง รอให้ศาลรัฐะรรมนูญชี้ขาดก่อน
แต่ต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นหน้าตาของประเทศ เป็นหน้าต่างบานแรกที่เมื่อเปิดออกไปก็เจอคนนี้ ดังนั้นเมื่อไม่ยอมรับความผิดก็ไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองที่เคยด่าเขาว่าหน้าด้าน หน้าทน
ในขณะเดียวกันดอนก็เที่ยวไปโพนทนาว่าครม.คสช.ดีกว่าครม.ที่มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลทหารดีกว่ารัฐบาลที่มาจากประชาชนแต่เมื่อเจอกรณีนี้รัฐบาลทหารก็ไม่ต่างจากรัฐบาลปกติธรรมดา
แม้องคาพยพของคสช.จะออกมาการันตรีว่าไม่ต้องลาออกรอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดก่อน อย่างกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเห็นว่านายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีว่า
รัฐบาลยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจาก กกต.ว่าใครผิดหรือไม่ผิด เพิ่งทราบข่าวจากสื่อมวลชนเท่านั้น หากนายดอนมีความผิดจริง กตต.ต้องยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชี้ขาดต่อไป เพราะคู่สมรสของนายดอนมีหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้แจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ทราบเท่านั้นเอง
โดยที่ประชุม กกต.ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่มีความผิด เพราะนายดอน ดำรงตำแหน่งก่อนที่รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าผิดเพราะต้องการให้เป็นบรรทัดฐาน จึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด ดังนั้น ประธาน กกต.จึงออกเสียงชี้ขาดว่านายดอนผิด เพื่อที่จะได้ส่งให้ศาลชี้ขาด จะได้เป็นบรรทัดฐาน และคำวินิจฉัยชี้ขาดนี้ จะนำไปใช้กับนักการเมืองต่อไปในอนาคต เพื่อป้องกันปัญหา
นอกจากนี้นายดอนไม่จำเป็นต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ไม่จำเป็น และเคยมีตัวอย่างมาแล้วในอดีต นายดอนยังทำงานต่อไปได้ตามปกติ ส่วนจะแสดงสปีริตลาออกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของนายดอน ทั้งนี้ นายดอนยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งทาง กกต.ก็เห็นว่าไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน
นายเสรี สุวรรณภานนท์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม โพตส์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีการถือหุ้นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผมขอแนะนำว่าหากเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้อาศัยสปิริตอย่างเดียวไม่ได้ เพราะการออกโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะทำให้ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนที่ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง ตามรัฐมนตรีมาตรา 170 วรรคสาม มาตรา 187 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง
อย่างไรก็ตาม หากรัฐมนตรีดอนถูก กกต.เห็นว่าถือหุ้นขัด รัฐมนตรีจริง ก็ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ถึงที่สุด และก็ยังไม่รู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร ซึ่งหากแสดงสปิริตลาออกจากรัฐมนตรีก่อนจะเป็นปัญหาต่อไปว่าการที่ได้กระทำไปแล้วจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จะกลายเป็นปัญหาหนักเข้าไปอีก หากกกต.เห็นว่าผิดก็ควรต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะเป็นการดีที่สุด
ในขณะที่นาย ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมากึ่งรับกึ่งปฏิเสธว่า กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติเสียงข้างมากเห็นว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เพราะคู่สมรสถือครองหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเกินร้อยละ 5 และไม่แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ได้รายงานต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 1 มิ.ย ที่ผ่านมา
เพื่อให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองหุ้นของภรรยาของตนเองแล้ว โดยระบุว่ากรณีของหุ้นที่ดังกล่าวนั้น เป็นหุ้นที่ภรรยาได้รับจากบิดาเป็นมรดกเมื่อ 37 ปีที่แล้ว และเป็นหุ้นในครอบครัว ซึ่งผู้ถือหุ้นมีเพียงญาติพี่น้องของภรรยา 6-7 คน ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และภรรยาไม่เคยแตะต้องหุ้นดังกล่าวมาตั้งแต่บัดนั้น แต่อยู่ในรายการคำชี้แจงทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือรับว่ามีแต่อ้างว่าเคยชี้แจงไปแล้ว การอ้างดังกล่าวเป็นการอ้างแบบหัวชนฝาว่าตัวเองไม่ผิด เป็นมรดกจากบิดาภรรยา
หากมองกันที่ประเด็นกฏหมาย กฏหมายไม่ได้ห้ามรับมรดกแต่การไม่แจ้งหรือถือหุ้นเกินกว่ากฏหมายกำหนด ถือว่าผิดอยู่ดี เฉกเช่นเดียวโจรปล้นจะแค่ร้านสะดวกซื้อหรือปล้นธนาคาร มันก็ปล้นอยู่ดี เพราะจะมาอ้างว่าแค่ปล้นร้านสะดวกซื้อจะผิดน้อยกว่าปล้นธนาคาร ไม่ได้ เพราะกฏหมายคือกฏหมาย ดังนั้นหากนายดอนเคารพกฏหมายก็ต้องยอมรับความผิดที่เกิดขึ้น กรณีที่อ้างว่าเป็นมรดกของครอบครัวภรรยาก็ถือว่าผิดอยู่ดี อย่ามาแถไปแบบข้างๆคูๆ
แต่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยแล้วคงต้องถาม นาย ดอน ว่า ไม่อายหรือที่ตัวเองมีมลทินติดตัวจากกรณีดังกล่าว แล้วจะเป็นตัวแทนของประเทศไปได้อย่างไร เมื่อตัวเองไม่ใสสะอาดเหมือนอย่างที่ตัวเอง พร่ำบอกออกมา แต่เมือมีมลทินเช่นนี้แล้วจะให้สังคมมองอย่างไร แล้วจะตอบสังคมได้อย่างไรเมื่อหนึ่งในรัฐมนตรีไร้สปิริตทางการเมืองเช่นนี้
Ringsideการเมือง