การปรับครม.จะเกิดขึ้นหรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยส่งสัญญาณการปรับคณะรัฐมนตรีแบบชัดๆ ดังนั้นในครั้งนี้ก็ไม่น่าจะต่างกันนัก
เพราะสุดท้ายการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบของนายกรัฐมนตรีเมื่อ 4 มิถุนายน 2561 พูดเสียงดังฟังชัดว่ายังไม่มีแผนปรับครม.รอให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก่อน
เมื่อผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาลส่งสัญญาณออกมาเช่นนี้ไม่มีอะไรต้องสงสัยเลยว่า การที่จะปรับ ครม.เอาใครออกซักคนในยุคของพลเอกประยุทธ์เป็นเรื่องที่ยาก เพราะด้วยคำพูดที่ว่า
“คนที่มาเป็นคณะรัฐมนตรีใน คสช.มาทำงานกับผมนั้น เขาเสียสละกันมา เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งน้อง จะทิ้งกันได้อย่างไร เมื่อมารวมกันแล้วก็ต้องพากันไปจนสุดทางนั่นแหละ”
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่า “บิ๊กตู่” เตรียมปรับ ครม.อีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายน และอาจเป็นการปรับครม.ครั้งใหญ่ โดยเตรียมดึงกลุ่มการเมือง – นักการเมืองที่ตกลงร่วมทำงานกับรัฐบาล คสช.มาเป็นรัฐมนตรี พิจารณาจากโควต้า ส.ส.ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่ามีส.ส.ในมือเท่าไร
แต่ละกลุ่มจะส่ง “นอมินี” มาทำงานช่วยรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้าย หรือเรียกว่า “รัฐบาลผสม” เพื่อเป็นการทดลองการทำงาน และหลังเลือกตั้งปี62 ก็เป็นการทำงานเต็มตัว
โดยรัฐมนตรีที่เหลือในครม.ปัจจุบัน คงมีแต่คีย์แมน อาทิ 3 พี่น้องและพ้องเพื่อน เท่านั้น …
อีกทั้ง กรณี กกต.มีมติเสียงข้างมากเห็นว่าการถือครองหุ้นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 264 ประกอบมาตรา 187 จนอาจเป็นเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 อาจกลายเป็นตัวเร่งให้มีการปรับ ครม.ในครั้งนี้
ล่าสุดเพื่อไม่ให้ตกขบวน พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ได้เปิดตัว โดยมี สุเทพ เทือกสุบรรณ กลับมาสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้ง เป็นประธานคณะทำงานรณรงค์เชิญชวนประชาชนให้มาร่วมเป็นเจ้าของพรรค ชัดเจนว่าหนุน คสช. ไปต่อ
ดังนั้น ต้องจับตาอย่าได้กระพริบว่า หากปรับ ครม.จะออกมาสูตรใด
ที่น่าสนใจคือการดึงตัวนักการเมืองจาก “พรรคการเมือง” เข้ามาเป็นส่วนผสมในคณะรัฐมนตรีคงจะเป็นเรื่องยากมาก
เพราะบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองที่เคยมีจำนวนส.ส.โลดแล่นในสภาคงไม่กล้าเสียงที่จะมาจมน้ำกับคสช.แน่ แม้ที่ผ่านมาจะมีพรรคการเมือง อาทิ พรรคพลังชลเข้ามาร่วมแล้วก็ตาม แต่ก็ด้วยเงื่อนไขพิเศษ ดังนั้นการเกิดขึ้นมาของพรรคพลังประชารัฐที่มีตัวแทนของกลุ่มการเมือง น่าจะมีโอกาสมากกว่าไปดูดคนในพรรคเดิม อย่าง ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา เพื่อไทย ประชาธิปัตย์
ในขณะเดียวกันที่น่าจับตามอง หากมีการปรับคณะรัฐมนตรีจริง น่าจะมีการดึงเอาพรรครวมพลังประชาชาติไทยเข้ามาร่วมใน ครม.นี้
ก็แน่นอนว่า นายสุเทพ คงส่ง นาย วีระชัย วีระเมธีกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ว่ากันว่าคนนี้ เป็นนายทุนใหญ่พรรครวมพลังประชาชาติไทย เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เองเป็นคนดันนายวีระชัยก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีในสมัยที่ตนเองเป็นรองนายกรัฐมนตรี เข้ามาเป็นใหญ่อีกครั้งถือเป็นการฝึกงานไปในตัว อีกทั้งนายวีระชัย ไม่มีอะไรจะเสียจึงง่ายต่อการเข้ามาร่วมกับรัฐบาล คสช.
ด้านส่วนตัวดีกรีนายวีระชัยก็ไม่ธรรมดา เพราะเป็นอดีตลูกเขยของเครือเจริญโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ยังเป็นคนในตระกูลที่มีแลนด์ลอร์ดในมือมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทยด้วย
ดังนั้นหากพรรครวมพลังประชาชาติไทย จะสร้างฐานใหม่โดยการเข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลก็ไม่แปลกมากนัก
นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯและคณะทำงานยุทธศาสตร์พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงภาพรวมผลการทำงาน 4ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล ว่า จากสภาพที่เป็นอยู่รวมทั้งความต้องการที่จะเร่งทำงานแก้ปัญหาให้กับประชาชน ผลที่ออกมามันตรงข้ามกัน จากสภาวะการลักษณะเช่นนี้ ตนมีความเห็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ควรจะพิจารณาถึงความเป็นจริงรวมของการทำงาน รวมทั้งพิจารณาในการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อให้การทำงานของรัฐบาลเดินหน้าไป สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ เพราะผ่านมาพลเอกประยุทธ์จะอ้างว่าคนที่มาเป็นครม.ก็มีแต่พี่น้องทั้งนั้น จึงมีความเกรงใจในการปรับออก
ตนอยากบอกไปยังพลเอกประยุทธ์ ว่า เรื่องของประเทศชาติอย่าไปเกรงใจใคร จำเป็นต้องปรับก็ควรปรับ ซึ่งที่ไม่ปรับเพราะเชื่อว่านายกรัฐมนตรีเกรงใจเพื่อนเลยไม่กล้าปรับออกตรงนี้ผิดหลักการบริหารราชการแผ่นดิน เท่าที่ตนมองดูการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา กระทรวงที่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงก็คงจะเป็น กระทรวงเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมายังไม่มีผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่งผลให้การทำงานติดขัดไปหมด ดูจากราคาสินค้าเกษตร
“ดังนั้นการปรับครม.ในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาล เพื่อที่จะได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานให้ประชาชน แก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกร อย่าไปเกรงใจใคร
การทำงานเพื่อประเทศชาติเกรงใจใครไม่ได้”
ถ้าไม่ต้องเกรงใจกันแบบนี้ เผลอๆคนเก่าอยู่ต่อ เสริมปึ๊กด้วยหน้าใหม่
ใครจะรู้ใจ “บิ๊กตู่”
Ringsideการเมือง