นายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ทางการเมือง ว่า ปัจจุบันหลังจากที่ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมานานกว่า 4 ปี ส่งผลให้ประชาชนมองว่านานเกินและจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนส่วนมากอยากให้มีการเลือกตั้ง เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้เศรษฐกิจดี ที่ผ่านมามีการสะท้อนปัญหาของประชาชนมาที่อดีตส.ส.เป็นจำนวนมาก ว่า อยากเลือกตั้ง ประชาชนมองว่า หากมีการเลือกตั้งจะทำให้ ต่างประเทศยอมรับไทยมากขึ้น การไม่มีการเลือกตั้งทำให้เศรษฐกิจไม่ดี ต่างประเทศไม่คบค้าสมาคมด้วย มันมีข้อจำกัดมากมายดังนั้นเขาเชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งแล้วทุกอย่างน่าจะดีขึ้น
นายทรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งในปี 2562 เชื่อว่าจะคึกคักขึ้นหากคสช.ไฟเขียวเปิดให้พรรคการเมิองทำกิจกรรมได้ ในขณะเดียวกันการกระทำผิดกฏหมายการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการซื้อสิทธิ์ขายเสียงอาจจะน้อยลง เปลี่ยนเป็นการเดินเข้าหาประชาชนมากขึ้น เพราะว่าที่ผู้สมัครทั้งหลายต้องการที่จะการสื่อสารกับประชาชนเกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมืองที่ตนสังกัด ดังนั้นการหาเสียงแบบการเดินไปพบปะประชาชนจะเป็นปัจจัยหลักยืนยันว่า ไม่ใช่การซื้อเสียง เพราะประชาชนในปัจจุบันเข้าใจการเมืองมากขึ้น มองว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกส.ส.รวมทั้งมีการคาดการณ์กันว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น เงินจะสะพัดในพื้นที่ เพราะเมื่อเปิดให้มีการทำกิจกรรมพรรคการเมืองบรรดาผู้สมัครส.ส.จะลงพื้นที่ และจากจำนวนส.ส.ในแต่ละพื้นที่จำนวนเพิ้่มสูงขึ้น ลำพังการใช้เงินแค่ตามกฏหมายก็เกิดเงินสะพัดตามธรรมชาติแล้ว ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้เชื่อว่าแต่ละพื้นที่คงจะมีการใช้งบประมาณสูงมาก เพราะพรรคการเมืองกว่า 100 พรรคที่น่าจะส่งผู้สมัครลงพื้นที่ก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 10 พรรคการเมือง เชื่อว่าจะส่งผลให้มีการใช้เงินในการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามกฏหมายสะพัดแล้ว
นายทรงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า มีการเดินสายของบางพรรคการเมืองเพื่อพบปะอดีตส.ส.ในการเจรจาในการชักชวนให้อดีตส.ส.ย้ายสังกัดจากพรรคการเมืองเก่าไปอยู่กับพรรคการเมืองใหม่ แบบส.ส.ยกจังหวัด ก็เป็นเพียงกระแสข่าวเท่านั้น เพราะเป็นประจำก่อนหารเลือกตั้งมักจะมีข่าวในสถานการณ์ทางการเมืองใกล้เลือกตั้งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะพรรคการเมืองใหม่ที่มีการตั้งขึ้นมาก็อยากได้นักการเมืองทีมีต้นทุนทางคะแนน เหมือนการสร้างบ้านอนยากได้ช่างที่มีฝีมือมาสร้างบ้านให้ไม่ต้องการช่างประเภทๆไม่เคยทำงานมาก่อน