นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม.กล่าวในรายการริงไซด์ การเมือง ว่า ประเทศไทยเกิดแนวคิดต่างขั้วการเมืองและมีความขัดแย้งรุนแรงและยาวนานมากว่า 10 ปี หรือตั้งแต่ปี 2547 ทั้งหมดเริ่มมาจากความขัดแย้งทางการเมืองต่างแนวคิดต่างสีเสื้อ ในช่วงหนึ่งตนมีโอกาสเข้าไปรับรู้ถึงปัญหาทางการเมืองในช่วงที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ก็มองเห็นปัญหาดังกล่าวบ้างแล้ว
ความเป็นแพทย์ประเมินว่า ปัญหาดังกล่าวเปรียบเสมือนเป็นมะเร็งร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่เยียวยาได้ ดังนั้นเราต้องเร่งหาทางรักษาโดยการหาสาเหตุของโรคหรือสาเหตุของปัญหาแล้วหาทางออกจากปัญหานั้น
นอกจากนี้แล้วปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะนี้คือ สังคมไทยหรือผู้มีอำนาจไม่เข้าใจปัญหาเรื่องของความขัดแย้ง เมื่อเกิดปัญหาแล้วไม่ยอมที่จะหาสาเหตุที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะต้นตอของปัญหาคือ 2 ฝ่ายไม่ยอมกัน รัฐไม่นำการบริหารจัดการปัญหาขัดแย้งแก้ไขหรือจัดการให้ลงตัว มีการเผชิญหน้า และเอาชนะคะคานกัน เอาเป็นเอาตายกัน ซึ่งผู้มีอำนาจไม่ยอมที่จะแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆจนกลายมาเป็นปัญหาสังคมที่รุนแรงและแตกแยกกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสีเสื้อทางการเมือง มีการจดบันทึกว่าประเทศไทยมีการชุมนุมมากกว่า 700 ครั้ง และไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
นพ.นิรันดร์ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือสังคมไทยคือ สังคมไทยไม่ยอมรับความจริง ที่ผ่านมาหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายทางกรเมืองตั้งแต่ปี 2514 เป็นต้นมามีการตั้งคณะกรรมการศึกษา เพื่อชำระความจริงในประวัติศาสตร์ขึ้นมาแต่ไม่เคยเอามาตีแผ่ความจริงให้สังคมรับทราบ ผู้มีอำนาจไม่ยอมที่จะคิดเอาผลการศึกษาที่ได้ตีแผ่ให้สังคมรับรู้ เพราะไม่ยอมรับความจริง กลัวไปกระทบคนนั้นคนนี้ และด้วยข้ออ้างคืออย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ
ดังนั้นที่ผ่านมาปัญหาของประเทศก็เลยซุกซ่อนอยู่ในส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่ไม่เคยมีใครออกมายอมรับหรือคนกระทำผิดไม่เคยได้รับการลงโทษ เพราะในทางการเมืองไม่ค่อยมีคนมารับผิดมีแต่รับชอบอย่างเดียว หากเรายอมรับความจริงหรือศึกษาความจริงก็จะได้รู้แนวทางแก้ไขในอนาคต
นพ.นิรันดร์ กล่าวด้วยว่า ถ้าตนมีอำนาจ ตนจะเร่งในการทำเรื่องปรองดองให้สามารรถนำมาปฏิบัติได้ เปลี่ยนมิตรมาเป็นศัตรู เรื่องของสีทางการเมืองก็ต้องแก้ปัญหาให้มาพูดคุยกัน หากเราทำได้ก็จะทำให้สังคมไทยเป็นสุข การจัดการขบวนการปกครองให้เกิดความเป็นธรรม การตีแผ่ความจริงหากไม่ทำอะไรก็จะกลายเป็นว่าเราซุกปัญหาอยู่ใต้พรมเพราะหากไม่แก้ตรงนี้ก็จะส่งผลมให้ปัญหาที่มีอยู่ไม่มีวันได้รับการแก้ไข
สุดท้ายการคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งการจัดการการเลือกตั้งให้เป็นธรรม เปิดกว้างสำหรับการสร้างนโยบายให้กับพรรคการเมือง มีการแข่งขันที่เป็นธรรมในทางการเมือง และการวางหลักสิทธิเสรีภาพให้เกิดความเป็นจริง อย่ามองการเคลื่อนไหวของประชาชนเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดกฏหมาย ต้องมองด้วยรัฐศาสตร์ คือมองด้วยความเป็นธรรม หากใช้แต่อำนาจไปจัดการก็จะกลายเป็นว่าใช้อำนาจเป็นเครื่องมือในการจัดการผู้เห็นต่าง คนเป็นผู้นำประเทศต้องมีแนวคิดใหม่และมองด้วยความเป็นธรรมในทุกมิติ