ไม่เกินคาดหมายหลังสำหรับกลุ่มสามมิตร ที่กระแสเริ่มแผ่วหลังจากจากก่อนหน้าที่สร้างกระแสกระหึ่มหน้าข่าวการเมืองเมื่อโชว์พลังดูดนักการเมือง อดีตรัฐมนตรีหลายคนเข้ามาร่วมงานไม่ว่าจะเป็นนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีต รมว.กระทรวงทรัพยฯ นายวิรัตน์ รัตนเศรษฐ อดีต รมช.เกษตร และพลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิต อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ
เพียงแค่นี้ก็ทำเอาพรรคขนาดใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ถึงกับออกอาการและเช็คข่าวกันให้วุ่นใครอยู่ใครไป ร้อนถึงคนแดนไกลต้องออกมาโชว์ตัว สยบกระแสทิ้งพรรค ก็ถือว่าได้ในระดับหนึ่ง บรรดาอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่กำลังคิดจะไปก็หยุดคิดสักนิด เพราะมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ยังรออยู่ในอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้พวกที่จะไปก็ลังเลใจพอสมควร
แว่วมาว่างานนี้คนแดนไกลเอาจริง ประกาศผ่านคนใกล้ชิดมาเลยว่า ใครมีรายชือว่าแล้วก็ไปลับอย่ากลับมา แต่หากพวกที่มีรายชื่อแล้วไม่ปฏิเสธหรือตอบรับ เรียกว่ามีข่าวก็เฉยไม่รายงานพรรคก็บอกคำเดียวเลยว่า ตัดทิ้ง ว่ากันว่าหากอดีต ส.ส.คนใด มีชื่อว่าได้รับการติดต่อทาบทามแต่ออกมาปฏิเสธก็รอด แต่หากมีชื่อแล้วนิ่งก็ไม่รอด หรือไม่ส่งลงเลือกตั้งในนามพรรคครั้งหน้า
แต่กระนั้นก็ตาม ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาว่ากลุ่มพลังประชารัฐใช้วิธีให้นายทหารในพื้นที่กดดันเรื่องคดีความของอดีต ส.ส. เช่น กรณีนายวิรัช รัตนเศรษฐ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย โดยอ้างทำนองว่าถ้าไม่ไปอยู่กับเขาก็ช่วยไม่ได้นะ ต้องช่วยตัวเองนะ แต่ถ้ายอมมาร่วม เขาจะพาไปพบรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแนวทางนี้จะเริ่มแผ่วและสิ้นสุดแล้ว
กระแสการช่วยเหลือคดีตีไม่ขึ้น เพราะผู้ถูกชักชวนเริ่มขาดความเชื่อถือว่าคนที่ชักชวนเขาไปจะสามารถช่วยเหลือเรื่องคดีความได้จริง ยกตัวอย่างเช่น มีอดีต ส.ส.ที่มีปัญหาในคดีเดียวกันจำนวน 40 คน แต่ผู้ชักชวนกลับบอกว่าจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่ยอมมาร่วมกับเขา คนที่ตัดสินใจไม่ไปร่วมก็สงสัยว่า คน 40 คนซึ่งมีคดีเดียวกัน เงื่อนไขเหมือนกัน แต่จะได้รับผลลัพธ์ต่างกันนั้น ในทางกฎหมายจะเป็นไปได้อย่างไร เป็นเพียงราคาคุยเท่านั้น ทำให้ไปขู่อย่างไรเขาก็ไม่กลัว
งานนี้เรียกว่าทั้งขู่ทั้งปลอบกันเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันพวกที่ไป ก็ไปสร้างปัญหาใหม่เพราะกรณีที่อุบลราชธานี นายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.อุบลฯ ที่ตัดสินใจย้ายพรรคไปอยู่กับพลังประชารัฐ หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้รับสิทธิ์ในการดูแลพื้นที่จังหวัดอุบลฯ มีการวางตัวผู้สมัครทั้ง 10 เขตไว้แล้ว แต่พอเอาเข้าจริง พลตำรวจเอกชิดชัย ก็มาแรงแซงโค้งได้สิทธิ์ในการดูแลผู้สมัคร ส.ส.ทั้งอีสานใต้ คือ อุบลฯ ศรีษะเกษ อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด งานนี้สุพลจุกพูดไม่ออกเลย
ล่าสุดมีกระแสข่าวออกมาว่ากลุ่มสามมิตรเจอกระแสตีกลับจำต้องปรับแนวทางด้วยการตั้งอีกกลุ่มหนึ่งที่จะเป็นพรรคพลเรือนใช้กลุ่มมัชฌิมา ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นตัวตั้งตัวตี เพราะพลังประชารัฐตีกระแสไม่ขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็มีกระแสต่อต้านสูง เนื่องจากคนอีสานไม่ชอบทหาร เกลียดเผด็จการ จึงเป็นเหตุผลทำให้กลุ่มสามมิตรเปลี่ยนท่าที
การใช้ชื่อกลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นใบเบิกทางอาจจะมีผลสะท้อนกลับมาบ้าง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะกลุ่มมัชฌิมาเดิมมีชื่อนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย เคยน้ำตาตกในมาแล้ว ว่ากันว่าจากครั้งนั้น นายประชัยสาปส่งการเมืองเลยไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรอีก เพราะคนใกล้ชิดนายประชัยเปรยออกมาว่า ครั้งนั้นนายถูกหลอก ใครหลอก หลอกทำไม ทำไมต้องหลอก เป็นปริศนามาถึงทุกวันนี้ ดังนั้น การเดินเกมของพรรคพลเรือนของกลุ่มสามมิตร จึงเป็นทิศทางการเมืองที่ต้องจับตาในช่วงเวลาหลังจากนี้
นายภูวนารถ ณ สงขลา บรรณาธิการบริหาร บางกอกทูเดย์ กล่าวว่า ถ้ามองภาพรวมแล้วการเมืองในขณะนี้น่าสนใจในการเดินเกมของกลุ่มสามมิตร ที่เดินหน้าในการดึงตัวอดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นเข้ามาร่วมงานกับกลุ่มสามมิตร ที่มีนัยยะว่ามีการเชื่อมโยงกับพรรคพลังประชารัฐ ที่มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลปัจจุบัน ที่ผ่านมามีการเปิดตัวนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และว่ากันว่าน่าจะมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งในเคลื่อนไหวในนามกลุ่ม 3 มิตรด้วย
หลังการเปิดตัวกลับไม่ฮือฮายิ่งปล่อยเวลาผ่านไปนาน ยิ่งพบว่ากระแสกลับไม่ดีขึ้น เหมือนโรงแรมร้างที่ไม่มีใครเข้าไปเช็คอิน เพราะคนที่เดินเกมไม่มีพลังจริงไม่ว่าจะเป็น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ว่ากันว่าเป็นอดีตนักการเมืองเก่าที่ร้างสนามไปนานอาจจะตกรุ่นไปแล้ว แม้แต่นายสมศักดิ์เองก็ไม่ใช่ชื่อที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าจะนำพาคนที่ตัดสินใจไปอยู่ไปสู่เป้าหมายได้ แม้แต่ คสช.เข้ามาอุ้มการเดินเกมของกลุ่มสามมิตร ยิ่งส่งผลให้สังคมจับตามองว่าเอื้อกันหรือไม่
นอกจากนี้ จากกระแสข่าวที่ออกมา ก็บอกอีกว่าที่สนทนากันในเบื้องต้น เท่านั้นเท่านี้ เอาเข้าจริงก็กลายเป็นว่าเอทีเอ็มหาย กระเป๋าตังก์หาย ทำเอาแห้วไปตามๆกัน จากตัวเลขที่คาดหวังกันสูงลิบ 8 หลักบ้าง 7 หลักบ้าง หรือ รายเดือน 6 หลักกลางๆบ้าง สุดท้ายกินแห้วกันหมด เพราะเอาเข้าจริงคนที่ไปร่วมงานวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา บ่นกันอุบ มาตั้งไกลได้แค่นิดเดียว พอเป็นค่าน้ำมัน มันยังไงกัน ไอ้ที่ดีลกันไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่อย่างนี้นี่นา สุดท้ายกลายเป็นว่า หัวไม่มาราคาหดประมาณนั้น คนที่ออกตัวแรงสุดท้ายอาจตกม้าตายก่อนเข้าป้ายก็ได้ครับ
คงไม่นานการเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองคงจะเกิดขึ้น หลังจากเปิดตัวออกมาแต่เจอกระแสตีกลับต้องไปซุ่มหลบเลียแผลใจกันใหม่ เสือซุ่มอย่างกลุ่มสามมิตรประมาทไม่ได้ แต่ที่แน่ๆคือ หากยังใช้ “ภิรมย์ พลวิเศษ” เดินเกม ผลก็จะออกมาเช่นนี้ เกมเปลี่ยนม้ากลางศึกอาจจะเห็นในอีกไม่นาน