“จากการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ พบว่าการทำทัวร์ของเรือฟีนิกซ์ ไม่เข้าข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญ ลูกทัวร์ที่มาต่างก็ซื้อทัวร์กันมาเอง และไม่มีการบังคับให้ต้องไปซื้อสิ้นค้าหรือกินข้าว ตามที่บริษัททัวร์กำหนด เพราะฉะนั้นทัวร์ดังกล่าวจึงไม่เข้าข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญ”
เป็นคำพูดของพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ที่ยืนยันว่า ทริปสลดเกาะเฮ ไม่เกี่ยวข้องกับทัวร์เถื่อน
แต่แม้จะไม่ใช่ทัวร์ 0 เหรียญเช่นที่หมอเดาทั้งหลายทายทัก ทว่าอุบัติเหตุเรือล่มที่เกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต ได้ตีแผ่ความจริงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยหลายประการ
ประการแรกคือปัญหาการขาดแคลนของเจ้าหน้าที่ และความล้าหลังของกฎหมาย เพราะถึงวันนี้ แม้จะรู้ตัวอู่ต่อเรือ เจ้าของเรือ กัปตันเรือ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่หาใช่เรื่องง่ายที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ
แหล่งข่าวจากกรมเจ้าท่าเปิดเผยว่า
“ด้วยตัวกฎหมายยังไม่มีข้อบังคับชัดเจน จึงเผาผิดทางกฎหมายกับผู้ประกอบการไม่ได้ ทำได้เพียงมาตรการเยียวยาความเสียหายทั่วไป
อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นหนึ่งในสาเหตุมาจากที่กรมเจ้าท่าขาดแคลนพนักงานดูแลความปลอดภัยตามท่าเรือเพราะรัฐบาลไม่อนุมัติให้รับบุคลากรเพิ่มจึงขาดแคลนจำนวนมาก พอคนไม่พอก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ทั่วถึง นอกจากนี้ยังขาดแคลนงบประมาณบำรุงรักษาท่าเรืออีกด้วยเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยให้เกิดขึ้น โดยหลังจากที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นนั้นฝ่ายนโยบายได้เริ่มพูดคุยถึงการเพิ่มงบประมาณบ้างแล้วเพราะเป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนและทำได้เร็วกว่าการแก้กฎหมายหรือออกประกาศกรมฉบับใหม่”
นี่ก็ปัญหาหนึ่ง
อีกปัญหาหนึ่งคือความอ่อนไหวของนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงกับธุรกิจท่องเที่ยวไทย โดยฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจีนทยอยยกเลิกการจองห้องพักในจังหวัดภูเก็ตไปแล้วกว่าร้อยละ 10-15
สอดคล้องกับ นายไชยา ระพือพล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอันดามัน กล่าวว่า ยอดการจองห้องพักในจังหวัดภูเก็ต ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า หายไปแล้วกว่าร้อยละ 70 กระทบรายได้ไม่น้อยกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท
ด้าน ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีเรือล่มที่เกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต นำมาซึ่งการเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากการสื่อสารของฝ่ายรัฐบาลไทย ที่โยนความผิดไปให้คนจีน เรื่องต่อมาคือการรักษาความปลอดภัยที่มีปัญหา และเรื่องทัวร์ 0 เหรียญ ทัวร์นอมินี ที่ยังแก้กันไม่ตก ทั้งที่ฝ่ายรัฐบาลจีนกำชับเรื่องนี้มาตลอด 2-3 ปีหลัง เชื่อว่า นักท่องเที่ยวจีน น่าจะลงลงเรื่อยๆ ตลอดช่วง 5-6 เดือนนับจากนี้ อันเกิดมาจากข่าวเรือล่ม ที่บั่นทอนความมั่นใจของนักท่องเที่ยว บวกกับไทยกำลังจะเข้าช่วงมรสุม หวังว่าช่วงเวลานี้ ฝ่ายทางการไทย จะใช้ให้เป็นประโยชน์ เข้ามาจัดระบบเรื่องการท่องเที่ยวเสียใหม่ เพื่อรองรับกลุ่มทัวร์ที่จะเข้ามาในช่วงปลายปี
แต่ที่น่าตกใจคือ ข้อมูลของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่า 1.8 ล้านล้านบาท โดยมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง โนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สุด คือ นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยถึงกว่า 9.8 ล้านคนในปี 2560 และสร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่า 5 แสนล้านบาท
แต่อีกด้านหนึ่งที่มาพร้อมกันนั้น ก็คือ ประเทศไทยถูกจัดอันดับกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเนื่องจากการท่องเที่ยวที่ 132 จาก 141 ประเทศทั่วโลก สถิติข้อมูลของกองมาตรฐานความปลอดภัยการท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งทางบกและทางทะเลใน พ.ศ. 2560 สูงถึง 936 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 25.12 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิต จำนวน 265 คน และบาดเจ็บ จำนวน 671 คน โดยนักท่องเที่ยวชาวจีน จะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุด
จึงไม่แปลกใจที่นายศุภชัย ใจสมุทร ออกแอ็กชั่นกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ต้องออกมาโพสต์ FB ในเรื่องนี้ถึง 2 ครั้งซ้อน
“วันก่อนผมได้พูดถึงเหตุการณ์กรณีเรือล่มภูเก็ต วันนี้จะขออนุญาตแสดงความเห็นอีกสักรอบ โดยผมเห็นว่ารัฐบาลอย่าทำฉาบฉวย วูบวาบ กับเรื่องนี้เพราะเมื่อเห็นตัวเลขแล้ว เป็นตัวเลขที่น่าตกใจไม่น้อยนะครับ
เมื่อล่าสุด นายไชยา ระพือพล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอันดามัน ออกมาให้ข่าวว่า ยอดจองห้องพักใน จ.ภูเก็ต ช่วง 2 เดือนข้างหน้า หายไปแล้วกว่าร้อยละ 70 กระทบรายได้ประมาณ 42,000 ล้านบาท เป็นผลกระทบจากกรณีเรือล่มที่ภูเก็ต
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมีหลายปัจจัยมาผสมโรงกันไปหมด ทั้งเรื่องความเลินเล่อของกัปตัน ความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมาย ความผิดพลาดในสื่อสารของคนในรัฐบาล มันซ้ำเติมปัญหา บานปลายกลายเป็นว่าคนจีนไม่ไว้ใจกับการมาเที่ยวประเทศไทย ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงมาก เพราะทัวร์จีนเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีปริมาณมากที่สุด
แน่นอน ภาครัฐตระหนักถึงปัญหานี้อย่างดี มีการไล่ตรวจหาผู้กระทำผิด ทั้งกลุ่มบริษัทนอมินี อู่ต่อเรือเถื่อน มีการผุดของใหม่ๆ ขึ้นมามากมายเพื่อป้องกันเหตุในอนาคต อาทิ สายรัดข้อมือคิวอาร์โค้ด ซึ่งใช้ระบบจีพีเอสเชื่อมกับกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) เพื่อติดตามและค้นหานักท่องเที่ยว หากเกิดอุบัติเหตุทั้งทางบกและทางเรือ
แต่สิ่งที่ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแค่แอ็คชั่นเท่ห์หลังเกิดเหตุ แต่คุณต้องมี “ความต่อเนื่อง” ในการแก้ปัญหาระยะยาวด้วย เพราะถ้าขาดสิ่งนี้ไป เดี๋ยวปัญหาเดิมๆ ก็จะกลับมาอีก ทั้งอู่ต่อเรือเถื่อน ทัวร์ 0 เหรียญ ความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมาย แล้วก็จะมีบริษัทสีดำๆ เทาๆ เอาเรือ ออกทะเล ไม่ฟังคำเตือน พานักท่องเที่ยวออกสู่ทะเล สุดท้ายจบที่โศกนาฎกรรม แล้วเราก็ต้องมาเร่งจัดการปัญหาเฉพาะหน้า แบบล้อมคอก ทั้งที่วัวหายไปแล้ว
งานนี้ ผมอยากให้บูรณาการ ให้เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบทั้งการต่อเรือ การตั้งบริษัท การเพิ่มบุคคลากร ในส่วนของการรักษาความปลอดภัย และทีมกู้ภัย โดยมีหน่วยงานตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นผู้ตรวจการท่องเที่ยว จะได้ลดปัญหาเรื่องความประมาท ปล่อยปละละเลย ไปจนถึงหวังเก็บผลประโยชน์ส่วนตน
วันนี้เราอาจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นอีกก็จะซ้ำรอยเดิม ความจดจำเรื่องแย่ๆของผู้คนที่จะมาเที่ยวบ้านเราจากทั้งโลกก็จะแพร่ขยายไป อย่าลืมว่าหน้าที่ของเราที่สำคัญที่สุดคือทุกชีวิตที่มาเที่ยวบ้านเราจะต้องปลอดภัย
มิฉะนั้นแล้วเกรงว่า การท่องเที่ยวไทย มันจะไม่รอดครับ จีดีพีเลขสวยๆของรัฐบาลก็จะหดหายไปในบัดดล จึงขอบ่นดังๆมา
ด้วยความห่วงใย ครับ”
หวังว่าฝ่ายผู้มีอำนาจ จะเร่งดำเนินการแก้ไข ฟื้นความเชื่อมั่นให้การท่องเที่ยวไทย โดยเร็ว
Ringsideการเมือง