“ภายใต้สถานการณ์ที่พรรคทหารจะยึดอำนาจต่อไปอย่างยาวนานนี้ ความใฝ่ฝันร่วมกันของพรรคการเมืองและประชาชนคืออะไร”
นี่คือส่วนหนึ่งของ ศาสตราจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชื่อดัง ที่ได้เขียนบทความเรื่อง “พรรคเพื่อไทยหายไปไหน” เผยแพร่ทางมติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจโดยเฉพาะข้อเสนอฉันท์มิตรแบบ “ติเพื่อก่อ” ให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ปรับเปลี่ยนแนวทางรวมทั้งนำเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้การเมืองไทยหวนกลับไปสู่วังวน “การแยกขั้วอย่างรุนแรง” อีก ถึงขนาดมีการเปรียบเทียบว่า “พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้บอกเลยว่า ทำไมผมและคนไทยอื่นๆ จึงควรเลือกพรรคเพื่อไทย ผมจะออกจากถ้ำด้วยองคาพยพครบ 32 ได้หรือไม่ หรือต้องออกจากถ้ำหนึ่ง เพื่อมาติดอีกถ้ำหนึ่ง อย่างที่ 13 หมูป่าโดนอยู่เวลานี้”
อาจารย์นิธิ ยังถามอีกว่า แล้วประชาชนผู้ลงคะแนนให้ จะได้อะไรจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะอย่างท่วมท้น หรือเพียงแค่เป็นฝ่ายค้าน (ซึ่งคงทำอะไรได้มากทีเดียว หากไม่นั่งคอตกหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ) ไม่ใช่หน้าที่ของพรรคการเมืองหรอกหรือ ที่จะต้องคิดให้ดีว่าจะทำอะไรหลังเลือกตั้ง ชนะจะทำอะไร และแพ้จะทำอะไร มีประโยชน์แก่ประชาชนอย่างไร และอันที่จริงควรคิดเลยไปถึงว่า หากไม่มีการเลือกตั้งจะทำอะไรด้วย
เพื่อไทยจะห่วงกับตัวบุคคลที่ถูกดูดไปทำไม ที่ควรห่วงกว่าก็คือจนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อไทยมีนโยบายอะไร จะดำเนินงานทางการเมืองอย่างไร นอกจากเดินตามรัฐธรรมนูญที่พรรคทหารวางไว้ให้อย่างเซื่องๆ ประชาชนไม่ต้องรู้หรือว่า หากเลือกเพื่อไทยแล้ว เขาจะได้อะไร ซึ่งไม่ใช่รับจำนำข้าว หรือขึ้นค่าแรงเพียงอย่างเดียว ภายใต้สถานการณ์ที่วิกฤตขนาดนี้ หากพรรคการเมืองไม่กล้าเป็นผู้นำของความฝัน จะมีพรรคการเมืองไปทำไม
อาจารย์นิธิ ย้ำว่า คำสัญญาที่จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแก่คะแนนเสียงของพรรคเพียงอย่างเดียว ไม่ช่วยให้ประเทศไทยพ้นจากวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่ครั้งนี้ไปได้ ลองคิดดูเถิด สมมติว่าพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าลดแลกแจกแถม สถานการณ์แบ่งขั้วในประเทศไทยเวลานี้ จะทำลายความชอบธรรมจากการเลือกตั้งลงในเวลาไม่นาน พรรคทหารก็จะกลับมายึดอำนาจอีกครั้งหนึ่ง หากไม่ทำผ่านข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ ก็ทำโดยเปิดเผยหน้าด้านๆ เลยก็ได้
นักวิชาการผู้นี้ ยังพูดถึงความแตกแยกทางการเมืองด้วยว่า แนวโน้มของการแยกขั้ว อันเกิดขึ้นจากพัฒนาการทางการเมืองของสังคมเอง มีอยู่ แต่ไม่มีใครตอบสนองแนวโน้มนี้อย่างจริงจัง ในที่สุดก็นำมาสู่การแยกขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการเมืองสมัยใหม่ของไทย ไม่มีประชาธิปไตยอะไรอยู่รอดในสภาวะแยกขั้วทางการเมืองที่แรงขนาดนี้ ในขณะเดียวกัน เผด็จการทหารก็ไม่น่าจะอยู่รอดในภาวะนี้เช่นกัน
“หากภาวะนี้จบลงด้วยการนองเลือดก็ยังดี แต่ที่น่าเศร้าก็คือแม้นองเลือดแล้ว ก็ยังไม่จบต่างหาก การแยกขั้วไม่ยุติลง มีแต่จะยิ่งแยกกันแรงมากขึ้น”
พรรคการเมืองต้องมีนโยบาย ยิ่งในภาวะวิกฤตทางการเมืองอันใหญ่หลวงครั้งนี้ ยิ่งต้องมีนโยบายที่ตอบโจทย์ได้หลายด้านมากขึ้น มัวแต่เล่นการเมืองที่แวดล้อมตัวบุคคลอยู่ ทำให้มองไม่ออกว่าเพื่อไทยกับพรรคทหารต่างกันอย่างไร
“การชูทักษิณก็ไม่ต่างอะไรกับการชูประยุทธ์ของพรรคทหาร ความหวั่นไหวที่อดีต ส.ส.ของพรรคถูกพรรคทหารดูด ก็เป็นเรื่องเดียวกับการดูดอดีต ส.ส.ของพรรคทหาร เพียงแต่ยึดติดตัวบุคคลกันคนละด้านเท่านั้น” ศาสตราจารย์ นิธิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเวลาไล่เรี่ยกัน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ออกมาตอบคำถามของ ศาสตราจารย์ นิธิ โดยยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบายพร้อมแล้ว ซึ่งจะเป็นนโยบายที่เพียบพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะนโยบายทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนส่วนใหญ่ที่กำลังลำบากอยู่ได้ พรรคเพื่อไทยทราบดีว่านโยบายเป็นปัจจัยหลักที่ประชาชนจะตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยยังไม่เปิดนโยบายจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนการเลือกตั้ง เพราะเกรงว่าจะถูกลอกเลียนแบบ และ ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอน ซึ่งหากเปิดนโยบายแล้วโดนใจประชาชน รัฐบาลอาจจะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก
ขอบคุณ : มติชน