หน้าแรก news “อนุทิน”เปิดแนวคิดพัฒนาประเทศ ดันนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ “ทำได้จริง – ทำได้เลย”

“อนุทิน”เปิดแนวคิดพัฒนาประเทศ ดันนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ “ทำได้จริง – ทำได้เลย”

0
“อนุทิน”เปิดแนวคิดพัฒนาประเทศ  ดันนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ “ทำได้จริง – ทำได้เลย”
Sharing

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยผ่านรายการ Ringsideการเมือง ถึงแนวทางในการทำงานของพรรคในอนาคต ว่า ในฐานะของหัวหน้า ต้องการให้นโยบายของพรรค สามารถจับต้องได้ มีความชัดเจนในแนวทางการทำงาน ทำได้จริงและทำได้เลย ส่วนตัว มีโอกาสคุยกับทีมนักวิชาการ และทีมยุทธศาสตร์บ้างแล้ว แต่ยังไม่ใช่ระดับพรรค เพราะพรรคยังทำกิจกรรมไม่ได้ เนื่องจากติดขัดเรื่องกฎหมาย

ในส่วนของการพัฒนาประเทศ ตนอยากเห็นการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค สร้างงานในท้องถิ่น ส่งผลให้แรงงานและตำแหน่งงานไม่กระจุกตัวในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ ผลที่ตามมาคือ การยกระดับจังหวัดต่างๆ ให้ทัดเทียมกัน ผลพลอยได้คือการแก้ปัญหารถติดตามหัวเมืองใหญ่

นอกจากนั้น ยังคิดนโยบายด้านการศึกษา ไว้รองรับการเลือกตั้งในอนาคต อาทิ การแก้หนี้ กยศ. ทั้งการชำระหนี้ ตามความสามารถ การพักชำระหนี้ การปลดภาระผู้ค้ำประกัน  เพื่อลดภาระและลดแรงกดดันให้กับนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ส่วนที่มีการบอกว่าตนเสนอให้ยกหนี้กับผู้กู้ทุกคน ตนย้ำว่าไม่เคยเสนอแนวทางเช่นนี้ เพราะขัดกฎหมาย ทำไม่ได้

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อยากสร้างพรรค จากนโยบายที่ดี ที่มีคนจดจำ ดังนั้นนโยบายของพรรคจึงมีความสำคัญมาก

“การพัฒนาประเทศ ต้องเริ่มด้วยการวางรากฐานแห่งรัฐให้เข้มแข็ง และต้องทำได้จริง ทำได้เลย การจะทำให้ชาติเข้มแข็งล้วนใช้เวลา ดังนั้นต้องลงมือปฏิบัติให้เร็ว

แม้สำนักข่าวจะมองตรงกันว่า พรรคภูมิใจไทยจะได้ร่วมรัฐบาล 100% เพื่อให้รัฐบาลมีจำนวนตัวเลขในสภาที่เข้มแข็ง แต่ในยุคของผม การร่วมรัฐบาล ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง แต่หมายถึงพรรคต้องได้ใช้ความรู้ ความสามารถในการพัฒนาประเทศ หรือได้ทำนโยบายที่หาเสียงไว้ ตรงนี้ สำคัญที่สุด หากผิดไปจากนี้ เราขอทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ไปตรวจสอบรัฐบาลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติดีกว่า”

ในวันเดียวกัน นายอนุทินได้โพสต์ FB ส่วนตัว(อนุทิน ชาญวีรกูล) ระบุว่า

ปลดภาระค้ำประกัน กยศ.
ไม่ทำ ไม่ได้แล้ว
……..

เกือบ 1 เดือนที่ผมแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ของ กยศ. ทั้งยอดหนี้หลายแสนล้านบาท และยอดนักศึกษาที่ถูกฟ้อง ทั้งที่เป็นหนี้เสีย และหนี้ที่มีแนวโน้มจะเสียอีกจำนวนมาก รวมแล้วเกือบ 2 ล้านคน

คนส่วนใหญ่เข้าใจเจตนาของผมในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มองเห็นอนาคตของลูกหลาน ด้วยความกังวลใจ และอยากจะช่วยแก้ไข
ผมเชื่อเช่นนั้น…

แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่ง อาจจะมองว่าผมพูดหรือแสดงความเห็นเพื่อหาเสียง พูดเพราะใกล้เวลาเลือกตั้ง
ก็ไม่ผิดครับ

ในฐานะนักการเมือง และในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่จะเสนอตัวให้ประชาชนพิจารณาในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไร ผมต้องบอกวิธีคิด และแนวทางของผม ให้ประชาชนทราบ และพิจารณา
ไม่ใช่บอกแค่ชื่อ กับ นามสกุล เท่านั้น

ผมเห็นว่าเรื่องการศึกษา เป็นเรื่องสำคัญ
ผมเห็นว่าการติดอาวุธทางปัญญาให้คนในชาติ เป็นสิ่งจำเป็น มากกว่าการติดอาวุธให้กองทัพ

ถ้ามีโอกาส ผมพร้อมจะทุ่มเทงบประมาณเพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับคนไทย โดยไม่เสียดาย และไม่คิดเอาคืน

ผมมีความเชื่อว่าประเทศไทย จะพัฒนาได้ คนไทยต้องมีการศึกษา และต้องได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม

เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นนโยบายที่ดี
แต่วิธีปฏิบัติอาจจะมุ่งเน้นผลประกอบการแบบธุรกิจ คือ ต้องไม่ขาดทุน และเลียนแบบสถาบันการเงินมากไป ทั้งๆ ที่ปรัชญา แนวคิด วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะการให้มีผู้ค้ำประกันการกู้ยืม และฟ้องผู้ค้ำประกัน การบังคับคดีผู้ค้ำประกัน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นมาตรการที่มากเกินจำเป็น และต่อไปในอนาคต มาตรการนี้ จะทำให้คนยากจนเข้าถึงการศึกษาได้น้อยลง เพราะหาผู้ค้ำประกันไม่ได้

ถ้า กยศ. ยังคงมีเงื่อนไขผู้กู้ต้องมีผู้ค้ำประกัน และใช้มาตร การเดิม คือ ฟ้อง และยึดทรัพย์ผู้ค้ำประกัน กรณีติดตามลูกหนี้ชั้นต้น หรือ ผู้กู้ ไม่ได้

อาจจะส่งผล ต่อนักศึกษาทั้งที่เป็นลูกหนี้ปัจจุบัน และที่จะกู้ กยศ. ในอนาคต ดังนี้
1. ผู้ค้ำ ถอนการค้ำประกัน
2. ผู้กู้ หาผู้ค้ำยากขึ้น และมีโอกาสที่จะไม่มีผู้ค้ำ สูงขึ้น
3. ผู้กู้กยศ. จะมีจำนวนลดลง เพราะ ไม่มีผู้ค้ำ
4. การขยายโอกาสทางการศึกษา จะมีอัตราลดลง
5. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี มีอัตราลดลง
6. ทรัพยากรมนุษย์ของชาติ มีศักยภาพลดลง
7. สถาบันการศึกษา มีรายได้ลดลง กระทบต่อคุณภาพการศึกษา

เพราะ…
ไม่มีใครอยากเป็นแบบครูวิภา
แม้จะอยากช่วยให้ลูกศิษย์ มีโอกาสเรียนสูงสุด แต่ก็ต้องคิดถึงตัวเองและครอบครัวด้วย

ความคิดหลักของผม ในเรื่อง กยศ. ผมจึงเสนอให้มีการปลดภาระผู้ค้ำประกัน และเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการกู้ ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน

ใครจะครหาว่าผมหาเสียง หาคะแนน ก็ไม่ว่ากัน

แต่ผมคิดว่า ผมกำลังหาทางออก หาแนวทางแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดปัญหาหนึ่งของชาติ
ด้วยการตัดวงจรหนี้ กยศ. ที่จะกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาของคนรุ่นลูกหลานในอนาคต

แน่นอนว่า รัฐต้องสูญเสียบ้าง แต่เป็นการสูญเสีย เพื่อรักษาโอกาสทางการศึกษาของเด็กๆ รุ่นใหม่ เราควรทำ และควรทำให้เร็วที่สุดด้วย

ไม่ต้องรอให้มีการเลือกตั้งแล้วค่อยทำ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเลือกตั้งกันเมื่อไร

แต่รู้ว่า กยศ. ลูกหนี้กยศ.
และ ผู้ค้ำประกัน กำลังวิกฤติ ทั้งระบบ

ปลดภาระผู้ค้ำประกันกยศ.
ต้องทำทันที
…….
ท่านใด เป็นหรือเคยเป็นผู้ค้ำประกัน กยศ. Inbox มาคุยกันนะครับ ผมอยากแลกเปลี่ยนข้อมูลและมุมมอง ครับ


Sharing

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่