จากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เสนอให้มีการกระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด เพื่อลดความแออัดในกรุงเทพ พร้อมกับการพัฒนาต่างจังหวัดไปพร้อมกัน กระทั่งสังคมนำมาขบคิด ช่วยกันหาทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
ล่าสุด นายเอกชัย ไชยนุวัติ นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ออกมากล่าวในประเด็นดังกล่าวว่า สนับสนุนให้มีการกระจายทรัพยากรสู่ท้องถิ่น เนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ล้วนมีการพัฒนาอย่างเท่าเทียมทั่วทุกพื้นที่ ย้อนมาดูประเทศไทยรู้สึกตกใจ แต่ก็เป็นคำตอบว่าทำไม ประเทศไทย ถึงย่ำอยู่กับที่ เนื่องจากงบประมาณ มันกระจุกตัวในกรุงเทพจนเกินไป
ในปี 2561 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่ายวงเงินรวม 2.9 ล้านล้านบาท โดยแบ่งรายจังหวัดที่ได้รับงบประมาณสูงสุด 10 อันดับแรก มีดังนี้
- กรุงเทพมหานคร. คิดเป็น60.29% หรือ1,748,500.07 ล้านบาท
- ส่วนกลาง คิดเป็น 14.24% หรือ 413,083.25 ล้านบาท
- นนทบุรี คิดเป็น 6.53% หรือ 189,413.53 ล้านบาท
- นครปฐม คิดเป็น 1.11% หรือ 32,306.71 ล้านบาท
- เชียงใหม่คิดเป็น0.86% หรือ 24,953.30 ล้านบาท
- ปทุมธานี คิดเป็น 0.84% หรือ 24,483.80 ล้านบาท
- นครราชสีมา คิดเป็น 0.81% หรือ 23,426.93 ล้านบาท
- สงขลา คิดเป็น 0.76% หรือ 22,101.84 ล้านบาท
- ชลบุรี คิดเป็น 0.67% หรือ 19,340.38 ล้านบาท
- ยะลา คิดเป็น 0.52% หรือ 15,178.52 ล้านบาท
หากตัดงบส่วนกลางออกไป จะเห็นว่า 9 จังหวัด ได้รับงบประมาณรวม 2,099,725.08 ล้านบาท คิดเป็น 72.39% ของงบประมาณ จึงเหลืองบอีกเพียง 27% เท่านั้นสำหรับอีก 68 จังหวัดที่เหลือ เมื่อเฉลี่ยแล้ว แต่ละจังหวัดได้งบแค่ 0.3% ทว่า แต่ละจังหวัดมีขนาด มีประชากร ไม่เท่ากัน บางจังหวัดอาจได้งบแค่ 0.1% ก็เป็นได้ น้อยมาก อย่างน่าตกใจ
นายเอกชัย กล่าวต่อว่า การกระจายความเจริญ มิได้หมายถึงเพียงการกระจายงบประมาณ แต่ยังหมายถึงการกระจายอำนาจ อย่างเป็นรูปธรรมคือ การให้สิทธิ์แก่ท้องถิ่นในการจัดเก็บรายได้ที่มากขึ้น เพราะปัจจุบันท้องถิ่นเก็บได้แต่ภาษีเล็กๆน้อยๆ อาทิ ภาษีป้าย หากจริงใจจะแก้ปัญหา ต้องเก็บภาษี หารายได้ ได้มากกว่าเดิม เพื่อให้มีเงินมาพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง นอกเหนือจากงบส่วนกลาง อย่างไรก็ตามยังมีอุปสรรคเรื่องของอำนาจ ต้องถามว่าส่วนกลางยอมรับได้หรือไม่ กับการแบ่งงบ แบ่งอำนาจ ให้ส่วนอื่นได้เติบโตขึ้นมา
“ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ผมต้องขอขอบคุณที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา จะได้จุดประกายให้สังคมได้ช่วยกันขบคิดเรื่องของการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถทำได้จริง”