จากกรณีที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังไม่มีท่าทีปลดล็อกพรรคการเมือง พร้อมให้เหตุผลว่ายุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ใช้เวลาหาเสียงเพียง 20 กว่าวัน ก็ยังปฏิบัติกันจนการเลือกตั้งลุล่วงนั้น
รศ.สุขม นวลสกุล อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง กล่าวว่า เป็นความจริงที่ในยุคหนึ่ง พรรคการเมืองใช้เวลาหาเสียงเพียง 27 วันเท่านั้น แต่อย่าลืมว่าก่อนหน้านั้นแต่ละพรรคการเมืองสามารถประชุมพรรค ทำกิจกรรมได้เต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หากตั้งใจให้หาเสียงด้วยเวลาเพียง 20 วัน นักการเมือง ย่อมสามารถปรับตัวได้ และถ้าเป็นจริง คิดว่าหมดหวังที่นักการเมืองจะชูนโยบายพัฒนาประเทศขึ้นมาแข่งกัน เพราะแต่ละพรรคต้องเล่นกระแสต่อเนื่องที่พูดกันมาตลอด 3-4 ปีหลัง อาจจะเป็นเรื่องนายกฯคนใน นายกฯคนนอก ประชาชนเบื่อหน่าย เพราะได้ฟังแต่เรื่องเดิมๆ แต่อย่าโทษนักการเมือง ด้วยเวลามีจำกัด แต่ละพรรคจำเป็นต้องใช้เรื่องที่เป็นกระแสมาตลอดในการหาเสียง การเมืองไทยจะกลับไปสู่ความไม่สร้างสรรค์ ที่สำคัญที่สุด การเลือกตั้งต้องเสรีและเป็นธรรม ไม่ควรทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม เพื่อป้องกันความขัดแย้งรอบใหม่
เมื่อถามถึงกำหนดเวลาการเลือกตั้ง อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง กล่าวว่า น่าจะอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงพฤษภาคม ตามที่ ดร.วิษณุ แจ้งมาก่อนหน้านี้ ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นช่วงปลายปี ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องมีการประกาศวันเลือกตั้ง เพื่อสะท้อนความจริงจัง และจริงใจ ในการพาบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ
รศ.สุขุม ยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มสามมิตร และพรรคต่างๆ ว่า กลุ่มสามมิตร ในอนาคตอาจจะมีการตั้งพรรคตัวเองขึ้นมา มากกว่าจะมาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากปัจจุบันนี้ การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรเป็นเอกเทศมากขึ้นทุกที
ในส่วนของพรรคขนาดกลางทั้ง พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา จำเป็นต้องชูนโยบายพัฒนาประเทศ เพื่อสร้างกระแสพรรค และยืนยันความเป็นพรรคการเมือง ที่มุ่งทำงานเพื่อประชาชนมากกว่าการเป็นกลุ่มการต่อรอง ขณะเดียวกันนักการเมืองในพื้นที่ต้องทำงานหนัก เพราะต้องสู้กับกระแสพรรคใหญ่ พรรคขนาดกลาง ต้องปรับตัว จะรอคะแนนจากดาวฤกษ์ของพรรคไม่ได้ แต่ตัวพรรคต้องมีกระแสไปช่วยหนุนด้วย มิเช่นนั้น จะสูญพันธุ์กันหมด
ในขณะเดียวกัน การต่อสู่กันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เกมของเขาคือ การเป็นตัวเลือกที่ 3 ซึ่ง ไม่ใช่กลุ่มเพื่อไทยและกลุ่มกองทัพ เป้าหมายคือการได้ ส.ส.เป็นอันดับ 2 รอจับมือกับ ส.ว. ดันหัวหน้าพรรคขึ้นเป็นนายกฯรัฐมนตรี ส่วนพรรคเพื่อไทย การชนะ ได้เสียงเป็นอันดับ 1 คือความสำเร็จแล้ว เพราะถูกสกัดจากทุกทิศทุกทาง มีความเป็นไปได้ว่าหากพรรคได้เสียงเป็นอันดับ 1 ก็อาจต่อสายถึงพรรคประชาธิปัตย์ จับมือตั้งรัฐบาล แล้วปล่อยให้ฝ่ายประชาธิปัตย์นั่งนายกฯ เพื่อให้เป็นเป้าโจมตีของฝ่ายกองทัพ ส่วนเพื่อไทย จะหาโอกาสอภิปรายประชาธิปัตย์ในระบอบสภาในภายหลังก็เป็นไปได้