นายยุทธพร อิสรชัย อดีตคณบดีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยถึงภาพรวมสถานการณ์ทางการเมืองว่า บรรยากาศการเมืองหลังการปลดล็อคคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก เพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ไม่ปล่อยอิสระทั้งหมด ดังนั้น พรรคการเมืองคงต้องหาแนวทางในการหาเสียงกันใหม่ เชื่อว่าสื่อโซเชียลมีเดียจะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสู่การเมืองจำต้องมีการปรับรูปแบบการแนะนำตัว
นอกจากนี้แล้ว ด้วยระบบการหาเสียงใหม่ที่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญให้ กกต.เป็นผู้กำหนดในการจัดทำป้ายหาเสียง เวทีปราศรัยหาเสียง รถแห่ ดังนั้น นักการเมืองเก่าน่าจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ จากเป้าประสงค์ของคณะผู้ร่างฯหวังจำกัดนักการเมืองหน้าเก่า แต่เมื่อเขียนกติกาเช่นนี้ทำเอานักการเมืองหน้าใหม่ต้องรับผลของกติกาไป
นายยุทธพร กล่าวต่อว่า เชื่อว่าบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งเปลี่ยนไปแน่ แต่ทั้งนี้นักการเมืองคงต้องหาวิธีในการขอคะแนนเสียงจากประชาชนทุกรปูแบบ น่าเป็นห่วงคือ เกรงว่าเมื่อกติกาเขียนแบบนี้อาจส่งผลให้นักการเมืองหลายรายหันไปเน้นในการหาเสียงผ่านแกนนำชาวบ้านซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หวั่นเป็นข้อครหาของการซื้อสิทธิขายเสียงได้
นายยุทธพร ยังประเมินผลการเลือกตั้งที่ในปี 2562 ว่า พรรคเพื่อไทยยังคงได้รับความนิยมมาเป็นอันดับ 1 ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะถดถอยลง เพราะด้วยบทบาทและท่าทีของพรรค รวมทั้งภาพของผู้นำที่ยังไม่ชัดเจนในการเมืองหลังเลือกตั้ง อาจจะส่งผลให้ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่นในพรรคประชาธิปัตย์ได้ ในขณะเดียวกันกลุ่มสามมิตรที่กำลังขับเคลื่อนทางการเมืองก็ไม่น่าจะได้รับความนิยมมากนักเพราะประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับพรรคนี้
นอกจากนี้แล้วตนมองไปที่พรรคขนาดกลางว่าจะเป็นตัวเข้ามาสอดแทรกและกำหนดได้ว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล โดยพรรคขนาดกลางที่น่าจับตามองคือพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ที่วางตัวชัดเจนในการนำพรรคออกความขัดแย้งทางการเมือง บทบาทของพรรคภูมิใจไทยคือ ไม่กระโดดเข้าไปในสงครามการเมือง การโจมตีใส่ร้ายกันทางการเมือง และการวางตัวของพรรค ตลอดจนวิสัยทัศน์ของหัวหน้าพรรค ส่งผลให้เป็นพรรคที่น่าจับตามอง เชื่อว่าจากการเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทยน่าจะไดรับความนิยมเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า