ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต้องชี้แจงต่อสาธารณชนด้วยว่างบประมาณกลาโหมงบความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น 20-21% นั้นมีความจำเป็นอย่างไร ทั้งที่ภัยคุกคามทางด้านความมั่นคงลดลงและไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะเกิดสงครามในภูมิภาคนี้ กองทัพได้รับการจัดสรรงบประมาณตลอดระยะเวลา 4 ปีของรัฐบาล คสช. ถึง 9.38 แสนล้านบาท
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ยังเสนอให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งยกเลิกการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่จำเป็นและไม่มีคุณภาพ โดยนำเงินมาจัดสรรเพื่อการเพิ่มสวัสดิการให้นายทหารชั้นผู้น้อย ลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศและลงทุนทางด้านการฝึกอบรมให้กับนายทหาร หรือ โยกงบประมาณไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนหรืออุปกรณ์ทางการศึกษาสำหรับโรงเรียนที่ขาดแคลนจะดีกว่า
ขณะเดียวกันสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระดับสูงติดอันดับโลก แรงงานระดับล่างและเกษตรกรรายย่อยมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ มีสัดส่วนของหนี้สินต่อรายได้สูงมาก จึงควรจัดทำงบประมาณมุ่งเป้าหมายไปกลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยและคนยากจนเพิ่มขึ้น ขณะที่การจัดซื้ออาวุธจากต่างประเทศไม่ก่อให้เกิดผลผลิตใดๆ ในระบบเศรษฐกิจและไม่ก่อให้เกิดสวัสดิการใดๆต่อประชาชน
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ผู้นี้ ยังกล่าวถึงกรณีที่ สนช.ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง อนุมัติงบประมาณปี พ.ศ. 2562 จำนวน 3.3 ล้านล้านบาทว่า เป็นกระบวนการจัดทำงบประมาณที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ขาดการมีส่วนร่วมและไม่ได้เกิดจากความเห็นชอบของประชาชนผ่านผู้แทนอันชอบธรรม ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการกำหนดงบประมาณและการเก็บภาษี
นอกจากนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมายงบประมาณจึงมีฐานะเป็นเพียง “สภาตรายาง” ให้รัฐบาล คสช. เท่านั้น จึงเสนอให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งทำการทบทวนและแก้ไขงบประมาณปี 2562 เสียใหม่ เนื่องจากพบว่าการจัดสรรงบประมาณปี 2562 มีสิ่งที่ต้องแก้ไขหลายประการด้วยกัน มีงบประมาณรายจ่ายสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท และมีการทำขาดดุลงบประมาณสูงถึง 4.5 แสนล้านบาท ควรลดการขาดดุลลงเนื่องจากมีความจำเป็นน้อยลงในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและมีความจำเป็นในการลดความเสี่ยงของวิกฤติฐานะการคลังในอนาคต
ขอขอบคุณ สำนักข่าวประชาไท