ณ เวลานี้ในสนามการเมืองถือว่า “พรรคภูมิใจไทย” กลายเป็นตำบลกระสุนตก หลังจากถูกรุมสกรัมทั้งพรรคเพื่อไทย ทั้ง กลุ่มสามมิตร ไล่ตั้งแต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ไปจนถึงว่าที่ผู้สมัคร ที่เป็นเช่นนี้เพราะด้วยทฤษฏีหาพื้นที่สื่อเพื่อเปิดทางหายใจ ดังนั้นการทำตัวนิ่งๆไม่หวือหวาไม่กระโดดลงไปเล่นในเกมการเมืองแบบเก่า บรรดาผู้สมัครก็ทำงานในพื้นที่ไป ก็ปรากฏว่าการสาดโคลนใส่ให้ตัวเปื้อนกันไป ทำนองว่าหากกูเปื้อน มึงก็ต้องเปียก
ดังนั้นกรณีที่ “เสี่ยโจ้”นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย พุ่งเป้าโจมตี นายอนุทิน ก็มีเป้าประสงค์เพื่อหาพื้นที่สื่อเท่านั้นไม่มีอะไร เพราะประเด็นก็แค่ไปเรียนหนังสือ ไม่ได้ไปทำงานการเมืองแต่ เสี่ยโจ้ หวั่นตกกระแสไม่มีหน้าในหนังสือพิมพ์ หรือไม่ได้พื้นที่สื่อ เสี่ยโจ้ จึงหาเรื่องมาสร้างข่าวหวังเพียงเพื่อพื้นที่สื่อเท่านั้น ด้วยปรัชญาทีว่าจะเอาทั้งทีต้องตีที่หัวหน้าไปเลยจะได้ดัง และก็สามารถหาพื้นที่สื่อได้ พอสมควร
แต่ในขณะเดียวกันเสี่ยโจ้ ก็ต้องตอบคำถามคนในพรรคว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะบางเรื่องที่เสี่ยโจ้นำออกมาโจมตีคู่แข่งทางการเมืองนั้นผู้ใหญ่ในพรรคก็ไม่ได้เห็นด้วยและเป็นการเอาเรื่องเล็กๆมาทำให้พรรคเสีย ซึ่งคนอย่างเสี่ยโจ้มีหรือจะยอม เพราะทุกวันนี้ยังหาโอกาสในการตีหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอยู่เช่นเดิม
ในขณะเดียวกันนอกจากหัวหน้าพรรคต้องมารำคาญกับลูกกระจ็อกเพื่อไทยแล้ว บรรดาลูกพรรคก็ไม่รอดเช่นกัน เพราะล่าสุด “แรมโบ้อีสาน”นายสุภรณ์ อัตถาวงษ์ ออกมาหาทางตีกิน สร้างกระแสข่าว ด้วยการโจมตีว่าที่ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ว่ากันว่าเกมนี้เป็นการตีกินทางการเมือง เพราะเรื่องเพียงแค่จัดเก็บสำเนาบัตรประชาชนของคนในพื้นที่นั้น หากจะมองว่าผิดก็ไม่ชัด เพราะคนที่ดำเนินการยังไม่มีสถานภาพทางการเมือง อยู่ในขั้นการเตรียมการ เป็นการเตรียมการเพื่อรองรับการสมัครสมาชิกพรรคเท่านั้น สมาชิกพรรคก็ยังไม่เป็นแถมยังไม่มีการหาเสียงแต่อย่างใด แล้วจะผิดตรงไหน
แต่การออกมาตีกินของนายสุภรณ์เป็นการออกมาหาเรื่องในการสร้างพื้นที่ข่าวให้ตัวเอง เพราะนายสุภรณ์รู้ทั้งรู้กฏหมายยังไม่สามารถเอาผิดได้ แต่ก็หาประเด็นมาทำให้ตัวเองอยู่ในกระแสได้ ดังนั้นเป้าประสงค์ของนายสุภรณ์ก็ประสบความสำเร็จในการหาพื้นที่ข่าวจนได้ ดังนั้นกรณีดังกล่าวไม่ต่างจากนักการเมืองเก่าๆทั้งหลายทำกันมาซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายมาก
อีกทั้ง มีการคาดหมายกัน พรรคภูมิใจไทยจะเป็นรองเพียงพรรคเพื่อไทยในสนามการเมืองภาคอีสาน ดังนั้นการเลือกตีพรรคภูมิใจไทย จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะไปโจมตีพรรคเพื่อไทยเพราะในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคเพื่อไทยลอยลมบนไปแล้ว ดังนั้นการเล็งเป้ามาที่ภูมิใจไทยน่าจะเหมาะสมที่สุด
นอกจากนี้ว่าด้วยบริบทของพรรคภูมิใจไทย ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศชัดเจนว่าไม่ลงไปเล่นในสงครามน้ำลาย เป็นนโยบายที่ภูมิมิใจไทยยึดถือ ดังนั้นบรรดาผู้สมัครของพรรคจึงไม่ออกมาสร้างกระแส แต่จะเน้นในการสร้างประโยชน์ให้กับพื้นที่มากกว่า ภาพของว่าผู้สมัครส.ส.ไปทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน ไปอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ที่ไปทำบุญตามวัดวาต่างๆ หรือการไปร่วมทำกิจกรรมกับชาวบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในการทำหน้าที่ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร คือการทำงานการเมือง ไม่ใช่เล่นการเมือง
ดังนั้น บรรดาคู่แข่งทางการเมือง ต่างออกมารุมสกรัมพรรคเพื่อไทย เพราะมองว่าผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย พอฟัดพอเหวี่ยงกับผู้สมัครของกลุ่มสามมิตร ดังนั้นคนเก๋าเกมอย่างสุภรณ์จึงเลือกที่จะชนกับภูมิใจไทยมากกว่าที่จะพาชั้นไปรบกับเพื่อไทย ไม่มีอะไรมากเพราะสุภรณ์รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ต้องสร้างเรื่องคู่แข่งเดินลำบากเท่านั้นเอง
เรื่องที่เกิดขึ้น จงเข้าทำนอง ไม่มีอะไรในกอไผ่ มีแต่หน่อไม้กับหมาหัวเน่า
วัฒนา อ่อนกำปัง รายงาน