รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง กล่าวถึงสภาวะการเมืองไทย ในรอบสัปดาห์ผ่านรายการ Ringsideการเมืองว่า ในเรื่องของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตำแหน่งดังกล่าวมีอิทธิพลต่ออนาคตของพรรคเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจะตัดสินใจเมื่อถึงโค้งสุดท้าย
ระยะเวลา 2 เดือนนับจากนี้ เพื่อไทยไม่มีทางเคาะตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากพรรคต้องประเมินก่อนว่าจะวางอนาคตทางการเมืองอย่างไร ถ้าเป็นฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรค ก็ต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าจะเป็นรัฐบาล หัวหน้าพรรคก็ต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะหัวหน้าพรรค จะเข้าไปเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีด้วย
“พรรคเพื่อไทย น่าจะวางตัวคน 4 ประเภทนี้ ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค ได้แก่ 1.สายบู๊ มีท่าทียืนตรงข้ามกับ คสช. ชัดเจน, 2 สายบุ๋นที่สามารถพูดคุยได้กับทุกพรรค ยกเว้นฝ่าย คสช. 3.สายเศรษฐกิจ 4. สายที่ต้องดูแลท่อน้ำเลี้ยง ถึงเวลาต้องดูว่าสายไหน จะเหมาะสมกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม บุคคลในทั้ง 4 กลุ่ม จะถูกคัดเลือกเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีแน่นอน”
รศ.สุขุม กล่าวต่อว่า การเดินเกมช้า ส่งผลให้พรรคเพื่อไทย สามารถรั้งตัว ส.ส.ไว้ได้ เพราะถ้าหากประกาศตัวว่าจะมาเป็นฝ่ายค้าน แม้จะง่ายต่อการเลือกหัวหน้าพรรค และแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี แต่นักการเมืองที่รอเป็นรัฐบาล ต้องโบกมือลาพรรคแน่นอน ทั้งนี้ ส่วนตัวขอแนะนำพรรคเพื่อไทย ให้ชูธงเป็นฝ่ายค้าน เพราะสอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่เขาไม่ยอมให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจแน่นอน ดังนั้น เมื่อเพื่อไทยประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านแล้ว จะง่ายต่อการกำหนดทิศทางของพรรคในอนาคต
สำหรับข่าวลือเรื่องการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รศ.สุขุม กล่าวว่า มีความหวือหวาในเชิงการข่าว เพราะมีชื่อของหมอวรงค์(เดชกิจวิกรม)เข้าไปร่วมด้วย ส่วนตัวมองว่าเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ผู้ใหญ่ในพรรคมอบให้แก่หมอวรงค์ เพราะอย่าลืมว่าเขาเป็นส่วนสำคัญในการโค่นล้มรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนายอภิสิทธิ์ กับหมอวรงค์มีสไตล์ที่ต่างกัน แต่ถ้าเทียบบารมี นายอภิสิทธิ์ยังเหนือกว่ามาก ทั้งนี้ เชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะกุมชะตาของพรรคจนกระทั่งจบการเลือกตั้ง ถึงตอนนั้นต้องมาดูว่า ประชาธิปัตย์มี ส.ส.น่าพอใจหรือไม่ ถ้าน้อยกว่าที่คาด นายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความรับผิดชอบ และเปิดทางให้คนใหม่เข้ามาทำงาน ที่หมายถึงการเปลี่ยนนโยบายด้วย จากที่เคยตำหนิกองทัพ อาจเป็นไปในทางตรงกันข้าม
รศ.สุขุม กล่าวถึงการต่อสู้ทางการเมืองที่เริ่มดุเดือดจากความขัดแย้งระหว่างนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ กับพรรคภูมิใจไทย ว่า พรรภูมิใจไทย ไม่มีความผิด เพราะยังไม่มีกฎหมายออกมาควบคุมการเลือกตั้ง ส่วนตัวขอชื่นชมพรรคภูมิใจไทย ที่กล้าได้ กล้าเสีย สะท้อนความุ่งมาดปราถนา ในการเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีทางการเมือง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ทุกพรรคต้องไม่ลืมว่ากฎหมายบ้านเมืองได้เปลี่ยนไปมาก สิ่งที่เคยทำได้สมัยนั้น อาจทำไม่ได้สมัยนี้
“ไม่แปลกใจที่ช่วงนี้ภูมิใจไทยจะโดนหนักหน่อย เพราะระยะหลังหัวหน้าพรรค นายอนุทิน(ชาญวีรกูล) พูดจาเข้าท่า คู่แข่งก็กลัว แต่ผมไม่สนับสนุนให้นักการเมืองเอาคำสั่ง คสช. มาฟ้องร้องกัน เพราะมันสะท้อนว่าคุณยอมศิโรราบให้กับอำนาจนอกระบบ ถึงขั้นนำของเขา มาใช้เป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่ง ยิ่งเรื่องการยุบพรรค ผมยิ่งไม่เห็นด้วย เพราะมันเป็นการลงโทษแบบเหมารวม ถ้าคุณไม่อยากถูกยุบพรรค คุณก็ไม่ควรไปยุบพรรคอื่น”