นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวเรื่องเศรษฐกิจของประเทศไทย ว่า ประเทศไทยต้องการเม็ดเงินหมุนเวียน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และจากการพูดคุยกับกลุ่มนักลงทุน พบปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขคือ กฎหมายของประเทศไทย มีความยุ่งยาก ซับซ้อน ไม่อำนวยความสะดวกกับนักลงทุนเท่าที่ควร
เนื่องจากการตั้งหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบและอนุมัติการลงทุน อย่างละเอียด โดยไม่กำหนดกรอบเวลาในการพิจารณาอย่างชัดเจน ส่งผลให้หลายบริษัทต้องรอการอนุมัติอยู่นับเดือน นับปี เสียดายเงินที่รอเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย เพราะติดขั้นตอนทางราชการ
“มันถึงเวลาที่ต้องทบทวนกฎหมาย ให้เอื้อประโยชน์กับนักลงทุน ผมเสนอให้นักลงทุน กำหนดสเป็กของตนเองมาเลยว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง จากนั้นฝ่ายรัฐจะผ่านการอนุมัติในกรอบเวลาที่กำหนด ต้องไม่นานจนเกินไป ถ้าใครผ่านการตรวจสอบ จะได้ลงทุนทันที หลังจากนั้นภาครัฐจะไล่ตรวจสอบทีหลัง ใครทำไม่ได้ ต้องถูกลงโทษ แนวทางของผมจะทำให้ประเทศไทย น่าลงทุนมากขึ้น” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ส่วนตัวไม่ได้ขวางการก่อสร้างโครงการ EEC(ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก)แต่ทราบมาว่าในโครงการ EEC มีการออกกฎหมายเอื้อประโยชน์กับนักลงทุน มากกว่าในพื้นที่อื่น ตนอยากให้นำกฎหมายดังกล่าว มาปรับใช้กับทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม เพื่อให้เกิดการลงทุนทั่วประเทศ
สำหรับประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ กับพรรค ภูมิใจไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ฝ่ายตรงข้ามกำลังทำงานการเมืองแบบเก่า ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน สำหรับพรรคภูมิใจไทย เลิกสนใจเรื่องนี้ ขอคิดเรื่องนโยบายดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายการเมือง ยังจะทำงานแบบเดิม นอกจากจะแพ้แล้ว ยังอาจจะเป็นเหตุให้ประชาธิปไตยต้องหยุดชะงักลงอีกด้วย อย่าลืมว่า ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมือง ก็เป้นสาเหตุที่ทำให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง
“ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมคงออกมาลุยเต็มที่ เพราะผมมั่นใจว่าเราไม่ผิด แต่จากประสบการณ์มันบอกแล้วว่าการออกไปสู้กันทางการเมือง ในลักษณะของการสาดโคลน ด่ากันไป ด่ากันมา สิ่งที่ตามมามันไม่มีใครชนะ แถมประชาธิปไตย ยังเสี่ยงถูกทำลาย มาวันนี้ ผมจึงขอเงียบไว้ดีกว่า เพราะบ้านเมืองมีกฎหมาย และการเลือกตั้งในสมัยหน้า ผมเชื่อว่า การบิดเบือนข่าวสาร ไม่ช่วยให้ชนะเลือกตั้ง นโยบายต่างหาก คือ สิ่งที่ประชาชนอยากจะเห็นจากนักการเมือง” นายอนุทิน กล่าวปิดท้าย