หน้าแรก news “นักวิชาการ” แนะ รัฐเร่งเก็บเงินเข้าคลัง รับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก

“นักวิชาการ” แนะ รัฐเร่งเก็บเงินเข้าคลัง รับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก

0
“นักวิชาการ” แนะ รัฐเร่งเก็บเงินเข้าคลัง รับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก
Sharing

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจและค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ที่ รวมถึงผลกระทบสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ว่า

การลุกลามของวิกฤติเศรษฐกิจและการดิ่งลงของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น รวมทั้งเงินทุนระยะสั้นเก็งกำไรไหลเข้าตลาดตราหนี้ของไทยเพิ่มขึ้นและกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาจเกิดการเก็งกำไรค่าเงินบาททำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย โดยเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ยกเว้นดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ควรรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก กระทบต่อภาคส่งออกขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ

ทั้งนี้จากการอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงของค่าเงินในตุรกี อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา อินโดนีเซีย อินเดีย และจะเกิดขึ้นกับฟิลิปปินส์ บราซิล ต่อไป ทำให้ภาระหนี้สินต่างประเทศของประเทศเหล่านี้ ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงอยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีกจากการอ่อนค่าของเงินสกุลท้องถิ่น ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ อาจจะเกิดขึ้นในบางประเทศและจะมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินและเจ้าหนี้ระหว่างประเทศที่ปล่อยกู้ให้กับประเทศเหล่านี้ สถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่มีฐานะแข็งแกร่งขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะกลับมาอ่อนแออีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่ผลกระทบจากการขยายวงของสงครามทางการค้า จะทำให้ปริมาณการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสสี่ ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาผลของการทำประชาพิจารณ์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์หรือไม่ หากมีการตัดสินใจเดินหน้าเก็บภาษีจากจีนเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ คาดว่าจีนจะทำการตอบโต้ทางการค้าในระดับเดียวกัน จะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกค่อนข้างมาก ข้อมูลล่าสุด สหรัฐอเมริกามีตัวเลขขาดดุลการค้าในเดือนกรกฎาคมสูงกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 5 เดือน หากสถานการณ์การขาดดุลการค้าสหรัฐฯ ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีการใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีและกีดกันการค้าต่อประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย ต่อไปเพื่อลดการขาดดุลการค้า จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ซึ่งต้องอาศัยรายได้จากการส่งออก

“วิกฤติค่าเงินและการชะลอตัวของเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และอาจลามไปที่ฟิลิปปินส์ จะกระทบต่อภาคส่งออกของไทยไปอาเซียน ซึ่งไทยส่งออกไปอินโดนีเซียประมาณ 4% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนยานยนต์ โดยภูมิภาคอาเซียนเชื่อมโยงกันหมด เช่น สิงคโปร์ มีสัดส่วนการส่งออกไปอินโดนีเซีย 8% ก็จะได้รับผลกระทบ และไทยก็พึ่งพาตลาดสิงคโปร์ค่อนข้างมาก”

นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของประเทศในตลาดเกิดใหม่ จะไม่สามารถหยุดยั้งอัตราเงินเฟ้อสูงรุนแรงและการอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงของค่าเงินได้ การสร้างความเชื่อมั่นด้วยการลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ลดการขาดดุลงบประมาณ ลดภาระหนี้สินต่างประเทศ คือ ทางออกของวิกฤติค่าเงิน ประเทศที่มีการเกินดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัดล้วนมีค่าเงินที่มีเสถียรภาพและไม่เป็นเป้าหมายของการถูกโจมตีให้อ่อนค่าลง

อย่างไรก็ตามผลกระทบจากวิกฤติค่าเงินในตลาดเกิดใหม่นั้นยังกระทบไทยค่อนข้างจำกัด ขณะนี้ประเทศไทยมีการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับ 45-47 พันล้านดอลลาร์ มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ มีหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นไม่มาก อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังค่อนข้างต่ำ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของภาคธุรกิจแม้นเพิ่มขึ้นแต่ยังคงเป็นการกู้เงินในประเทศเป็นหลัก หากเกิดกระแสเงินไหลออกและต้องชำระหนี้ต่างประเทศ ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถรับมือได้

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไทยอาจมีความเสี่ยงเรื่องหนี้สาธารณะและฐานะทางการคลังเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป หากไม่มีการปฏิรูปรายได้ภาครัฐทั้งระบบภาษีและรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขด้วยการสร้าง “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ” ไทยยังมีปัญหาสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ยังค่อนข้างสูงอยู่ หลังปี 2546 สัดส่วนรายได้ของครัวเรือนต่อรายได้ประชาชาติลดลงต่อเนื่อง สะท้อนว่าการที่จีดีพีเติบโตดีอาจไม่ได้หมายถึงรายได้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่มีการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ทั้งปีของครัวเรือนโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2558-2560 สะท้อนรายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยลดลง และมูลค่าหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น มูลค่าหนี้ครัวเรือนโดยรวมของทุกกลุ่มรายได้มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมาจากการกู้ยืมของรายได้สูงเป็นหลัก

“แม้การเลือกตั้งในปีหน้าจะไม่ได้ทำให้ประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ แต่เป็นระบอบกึ่งประชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อภาคการลงทุน การเปิดเสรีการค้า มากกว่าระบอบรัฐประหารอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเริ่มต้นเจรจาการค้าและการลงทุนกับอียูได้ มีการตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายค้าน มีเสรีภาพมากขึ้น หากหลังการเลือกตั้งสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยได้ก็จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น”

ขอบคุณ : ไทยรัฐ


Sharing

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่