“ผมก็ต้องพูดอีกครั้งว่า คนที่ดี คนที่เก่ง คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่ในชีวิตนี้ไม่มีความอยากได้สมบัติพัสถานอะไรมากเกินกว่าที่คนทั่วไปพึงจะมี ก็ควรจะเสียสละตัวเองมาทำงานการเมือง มาช่วยกันบริหารประเทศ อย่าเป็นเพียงนักวิจารณ์”
เป็นคำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในนิตยสาร GM ฉบับเดือนสิงหาคม 2561
…
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ถือเป็นอภิมหาโปรเจกค์ ของรัฐบาล “บิ๊กตู่” ที่มี “นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ดูแลอยู่เบื้องหลัง ประคบประหงมไม่ต่างจากไข่ในหิน
“ใคร” ก็แตะไม่ได้
ยิ่งล่าสุดได้ “กลุ่มสามมิตร” และสื่อบางหัวมาปกปักษ์โครงการ สะท้อนชัดว่าโครงการนี้ มีความสำคัญยิ่ง
แน่นอนว่า EEC เป็นโครงการที่ดี สะท้อนผ่านเสียงตอบรับจากนักลงทุนที่แห่เข้ามาขอ ล่าสุด มีนักลงทุนทั้งไทย และต่างชาติกว่า 6 พันบริษัท ขอจดทะเบียนลงหลักที่ EEC ซึ่งผายมือต้อนรับกลุ่มอุสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ได้แก่ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ฯลฯ
ถึงกลางปี มีการแจ้งของบลงทุนไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท
ในส่วนของการอำนวยความสะดวก EEC เน้นเกื้อหนุนนักลงทุนเป้าหมาย โดยด้วยการวางผังเมืองอย่างรอบคอบ และระบบการขนส่งชั้นสูงคือ โครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ท่าเรือน้ำลึก ศูนย์กลางด้านอากาศยาน มีการพัฒนาเมืองโดยรอบ
ไม่เพียงแต่สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่งระบบ AAA ยังมีการอำนวยความสะดวกด้านกฎหมาย เรียกว่า “สิทธิประโยชน์ด้นการลงทุน” อีกหลายประกาย เพื่อรองรับการลงทุนในพื้นที่ EEC
BOI ประกาศว่า เป็นครั้งแรกที่มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นักลงทุนสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย และยังมีความยืดหยุ่นเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
อาทิ สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนั้น ยังได้รับการยกเว้นอากรขาเข้า สำหรับเครื่องจักร วัตถุดิบ บุคคล ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
แถมยังอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการ สูงสุดถึง 99 ปี พร้อมกับลดหย่อยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้บริหารชาวต่างชาติของบริษัทที่มาตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ ถึงร้อยละ17
ถือว่าต่ำที่สุดในอาเซียน
ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดข้อเสนอ ที่เรียกน้ำลายจากนักลงทุนอย่างปฏิเสธไม่ได้
และไม่น่าแปลกใจเลยด้วยสิทธิประโยชน์ขนาดนี้ ส่งผลให้จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา เป็นเป้าหมายของนักลงทุน
เรียกว่าสวยหรู แต่สำหรับนักธุรกิจ ที่ผันตัวมาทำงานการเมือง อย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มองการณ์ไกลกว่านั้น เขาแนะนำให้ภาครัฐ นำสิทธิ์ประโยชน์ทั้งหลาย ไปปรับใช้กับพื้นที่อื่น เพื่อกระจายความน่าลงทุน
นายอนุทินออกมาให้ความเห็นด้วยความปรารถนาดี ผ่านสื่อหลายสำนัก
“การอนุมัติต่าง ๆ เช่น ใบ รง.4 หรืออนุมัติก่อสร้าง การดำเนินกิจการ อะไรต่าง ๆ ในอีอีซี กำหนดว่า ต้องให้เสร็จไประยะ 120 วัน แต่หากจะไปสร้างโรงงานที่บุรีรัมย์ สุรินทร์ ซึ่ง แน่นอนยังไม่เจริญเท่ากับ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ผมต้องรอ 8-9 เดือนหรือ เท่าไหร่ ในเมื่อ 3 จังหวัด อยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน แต่ส่วนนี้บอกว่าอนุมัติเสร็จภายใน 120 วัน ทุกอย่าง นอก 3 จังหวัดนี้ ถ้าจะไปตั้งโรงงานน้ำปลา โรงงานอ้อย โรงสีข้าว โรงงาน ผู้ทำธุรกิจ OEM ที่จ.ศรีสะเกษ ควรจะได้ไหม 120 วัน ใบ รง.4 ตอนนี้ถือว่าเร็ว แต่ อีไอเอ ปกติ 120 วันไม่เคยผ่าน ถ้าวันนี้ผมบ้าจะสร้างตึก 60 ชั้น ผมจะต้องรอ 8 เดือนไม่รู้จะได้หรือเปล่า แต่ในอีอีซี.ทำได้ 120 วัน ตรงนี้ทำไมไม่ทำทั่วประเทศ”
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า
“ผมอ่านกฎหมายนี้ครับ เขาเขียนว่า เนื่องจากมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ความเจริญต่าง ๆ ในระดับหนึ่งแล้วใน 3 จังหวัดนี้(ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระบอง) ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพ ชักชวนให้นักลงทุนมาลง ในเรื่องของอุตสาหกรรม 4.0 จึงกำหนดให้มีเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ผมคิดว่าเป็นบริบทที่ดี แต่มันควรจะ ประยุกต์ใช้ ถ้าเผื่อผู้ตัดสินใจจะลงทุน เขาตัดสินใจไปลงทุนในจังหวัดที่เจริญสู้ 3 จังหวัดนี้ไม่ได้ ถ้าว่าตามบัญญัติไตรยางศ์แล้ว เขาควรจะได้รับการดูแลที่เอื้อประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ ผมก็คิด แค่นี้เอง จังหวัดที่ไม่มีใครคิดลงทุน เราควรจะต้องรีบส่งเสริมให้เขาไป”
แน่นอน สำหรับนายอนุทิน ที่ถือสโลกแกนผูกมิตร ไม่สร้างศัตรู เขาไม่ได้คัดค้านโครงการ EEC พร้อมกับชื่นชมเสมอว่าเป็นโครงการที่ดี เพียงแต่ขอเสนอแนะเล็กน้อยตามสไตล์ผู้มีสัยทัศน์เชิงธุรกิจ
ทำได้ก็ดี
ทำมิได้ ก็ไม่ว่ากัน
แต่สิ่งที่นายอนุทินได้รับกลับมาคือ “ก้อนหิน” จากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่กล่าวหาว่านายอนุทิน “ค้าน” โครงการนี้ ชนิดหัวชนฝา สวนทางกับข้อเสนอของนายอนุทินอย่างสิ้นเชิง
นายเทพพนม นามลี สมาชิกกลุ่มสามมิตร กล่าวว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิไทย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อ โครงการ EEC ว่า เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ได้ประโยชน์แก่คนส่วนน้อยว่า ตนและสมาชิกกลุ่มสามมิตรสุรินทร์ ได้มีความคิดเห็นว่า นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิไทย ใช้ส่วนไหนคิด
จะด้วยเป้าประสงค์ใด ยากหยั่งถึง
แต่พฤติกรรมของสมาชิก “สามมิตร”เป็นการขว้างก้อนหินใส่ “นายอนุทิน” ในขณะที่นายอนุทินไม่ทันตั้งตัว และคาดไม่ถึงว่าความหวังดี จะถูกแปลงสารให้กลายเป็นความประสงค์ร้าย
ครั้งหนึ่งนายอนุทินเคยให้สัมภาษณ์ ว่า
“ผมก็ต้องพูดอีกครั้งว่า คนที่ดี คนที่เก่ง คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่ในชีวิตนี้ไม่มีความอยากได้สมบัติพัสถานอะไรมากเกินกว่าที่คนทั่วไปพึงจะมี ก็ควรจะเสียสละตัวเองมาทำงานการเมือง มาช่วยกันบริหารประเทศ อย่าเป็นเพียงนักวิจารณ์”
มาวันนี้ ในกระแสการเมืองสไตล์สาดโคลน ยังมีให้เห็น
เขายังจะยืนยันคำเดิมหรือไม่ หรือจะถอยฉาก ยอมจำนนต่อรูปแบบการเมืองเก่า ?
Ringsideการเมือง