พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้เปิดเผยข้อมูลดัชนีความมีประสิทธิภาพด้านระบบดูแลสุขภาพของโลกปี 2018 โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 27 จากทั้งหมด 56 ประเทศ ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ในอันดับ 41 ถึง 14 อันดับ และนับเป็นประเทศที่เลื่อนอันดับมากที่สุดในครั้งนี้
“นายกฯ พึงพอใจการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของไทย จากข้อมูลพบว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อคนลดลงถึงร้อยละ 40 คิดเป็น 219 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,086 บาท ขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 75.1 ปี จากเดิมที่ 74.6 เมื่อปีที่ผ่านมา”
ทั้งนี้ การจัดอันดับดังกล่าวพิจารณาจาก 1) ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ เช่น การรักษาพยาบาล การป้องกันโรค การวางแผนครอบครัว กิจกรรมด้านโภชนาการ การรักษาฉุกเฉิน เป็นต้น 2) อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชากรในประเทศที่ไม่ต่ำกว่า 70 ปี 3) GDP ต่อหัวมากกว่า 5,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 162,000 บาทต่อปี และ 4) ประเทศที่มีประชากรไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า องค์การอนามัยโลกชื่นชม ประเทศไทยว่า เป็นต้นแบบและแหล่งเรียนรู้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเห็นว่าเป็นระบบที่ยั่งยืน เพราะสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง
ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2559 – 2568) ทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) การบริการสุขภาพ (Medical Service Hub) การศึกษา วิชาการ และงานวิจัย (Academic Hub) ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการเป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
ขณะเดียวกันประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีผู้ใช้บริการทางการแพทย์จำนวนมาก เพราะไทยมีจุดแข็งหลายประการ เช่น ค่ารักษาพยาบาลไม่สูงมาก การบริการดี มีจำนวนโรงพยาบาลมาตรฐานมาก และการสนับสนุนอย่างจริงจังของภาครัฐ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรียังได้รับรายงานด้วยว่า Wall Street Journal สื่อสายเศรษฐกิจที่นักลงทุนทั่วโลกสนใจติดตามข้อมูลจำนวนมาก ได้เผยแพร่บทความ เกี่ยวกับประเทศไทย โดยระบุว่าแม้ในช่วง 20 ปีก่อน ไทยจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น และเงินบาทไทย มีแนวโน้มสดใส รวมทั้งกำลังกลายเป็นประเทศที่มีสถานะเป็นผู้ให้ทุน มากกว่าที่จะขอรับทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ พลเอก ประยุทธ์ ยังพอใจภาพรวมตัวเลขรายได้ จากการจำหน่าย สินค้าโอทอปทั่วประเทศ ปี 2561 ที่มีมูลค่าสูงถึง 190,000 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะทะลุ 200,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรัฐบาลมีแผนจะเร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์ (ผู้ขาย/กระจายสินค้า) ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่กระจายสินค้าโอทอปและผลิตภัณฑ์ชุมชนให้รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น
สำหรับแนวทางเสริมศักยภาพของโอทอป ประกอบด้วย 1) เพิ่มจำนวนผู้ประกอบการให้มากขึ้น 2) พัฒนาเทรดเดอร์ในพื้นที่คอยรวบรวมและกระจายสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังจุดขาย หรือจากจุดค้าส่งไปยังจุดค้าปลีก 3) ขยายฐานเครือข่ายผู้สนับสนุนการพัฒนาสินค้าโอทอป 4) จัดกลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตสินค้าโอทอปมูลค่าสูง 5) เพิ่มมาตรฐานผลิตภัณฑ์โอทอป 6) ขยายช่องทางการตลาด และ 7) ใช้สินค้าโอทอปเป็นสิ่งดึงดูดของแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างโอทอปเทรดเดอร์ โดยอาจพัฒนากลุ่มเยาวชนหรือผู้ว่างงานในชุมชนเป็นผู้รวบรวมและกระจายสินค้า ซึ่งคนเหล่านี้จะต้องได้รับการพัฒนาองค์ความรู้อย่างรอบด้าน เช่น การขนส่งและกระจายสินค้า การรักษาคุณภาพของสินค้าขณะขนส่ง เป็นต้น เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพใหม่ ๆ ในห่วงโซ่ทางการค้าได้อีกด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจะสร้างศูนย์โอทอป ร้านค้าชุมชน หรือตลาดประชารัฐ ให้มีความเข้มแข็ง จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมโดยให้สมาชิกได้เสนอแนะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ชุมชนมีอะไรเป็นจุดแข็งหรือเป็นเอกลักษณ์ จะมุ่งเน้นการพัฒนาหรือเพิ่มมูลค่าของสินค้าชุมชนได้อย่างไร และจะระดมทรัพยากรหรือหาทุนจากที่ใด เป็นต้น ซึ่งหากทุกฝ่ายมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงก็จะทำให้ชุมชนก้าวไปข้างหน้าได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม