“มติชน” รายงานว่า นายอดุลย์ อยู่ยืน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา เขตอำเภอเมืองนครราชสีมา ซึ่งเดิมเป็น ส.จ.ในกลุ่มของพรรคชาติพัฒนา โดยการสนับสนุนของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ติดต่อกันมา 2 สมัย ตัดสินใจเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทยตามคำเชิญของนายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และเตรียมจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในเขตเลือกตั้งที่ 1 (เขตเทศบาลนครนครราชสีมา) ซึ่งนายอดุลย์ได้ลงพื้นที่หาเสียงต่อเนื่อง และประกาศตัวลงสมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1 ติดต่อกันมานานกว่า 3 เดือนแล้ว
นายอดุลย์กล่าวว่า ตนต้องขอขอบคุณนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ให้โอกาสและมีความเมตตาสนับสนุนตนเองมาตลอด แต่การตัดสินใจทางการเมืองครั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะใช้ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่มีอยู่ช่วยพัฒนาเมืองโคราชและแก้ปัญหาให้กับประชาชน เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ตนเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนในฐานะที่เคยดำรงแหน่งรองนายกเทศมนตรีนครนครราชสีมาและตำแหน่ง ส.จ.ในปัจจุบัน ตลอดจนตำแหน่งอื่นๆ ทางสังคม ได้สัมผัสและรับฟังปัญหาของประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ จึงเห็นว่าตนเองมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในหลายด้าน หากมีโอกาสได้ทำงานในจุดที่สามารถผลักดันนโยบายและงบประมาณมาแก้ปัญหาและพัฒนาให้เมืองโคราชพัฒนาไปมากกว่านี้ก็จะเป็นสิ่งที่ดี ตนจึงตัดสินใจเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย เพราะมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของนายอนุทิน และผู้ใหญ่ของพรรค ตลอดจนมั่นใจในนโยบายของพรรคภูมิใจไทยจะสามารถตอบโจทย์แก้ปัญหาของประชาชนทุกกลุ่มทุกอาชีพ และนำพาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้
ต่อข้อถามถึงการตัดสินใจจะลงสมัคร ส.ส.ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของพรรคชาติพัฒนาโดยจะต้องแข่งกับนายเทวัญ ลิปตพัลลภ น้องชายนายสุวัจน์, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย และนายทอง วิริยะจารุ จากพรรคพลังประชารัฐ นั้น มีความหนักใจหรือกังวลหรือไม่ นายอดุลย์กล่าวว่า ตนคิดอย่างเดียวว่าต้องแข่งกับตัวเองมากกว่า และเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง ที่ผ่านมาตนเป็น ส.จ.มาสองสมัย ได้ลงพื้นที่สัมผัสและรับฟังปัญหาและช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด ส่วนคู่แข่งจากพรรคการเมืองอื่นๆ ชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่เห็นมีใครมาแสดงตัวและไม่มั่นใจว่าบุคคลเหล่านั้นจะลงสมัครในเขตนี้จริงหรือไม่ ทั้งนี้ ตนเองก็ไม่ได้มีความหวั่นไหวหรือท้อถอยแต่อย่างใด ยังคงเดินหน้าทำการบ้านนำเสนอสิ่งที่ดีให้กับประชาชนพิจารณามากยิ่งขึ้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ผลจะออกมาอย่างไรตนก็พร้อมน้อมรับ