น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้แจ้งให้ส่วนราชการที่เข้าร่วมโครงการจ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของข้าราชการและลูกจ้างประจำโดยตรงทั้ง 225 แห่งทั่วประเทศ ให้เริ่มหักเงินเดือนหรือค่าจ้างประจำของข้าราชการและลูกจ้างประจำที่กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จำนวน 1.6 แสนคน คืนแก่ กยศ.โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.61 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ทุกหน่วยงานจะต้องหักเงินเดือนหรือค่าจ้างประจำของผู้ที่กู้ยืม กยศ. ก่อนโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของข้าราชการหรือลูกจ้าง ซึ่งถือเป็นโครงการต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ ที่กรมบัญชีกลางได้นำร่องหักเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างประจำ ภายในของกรมเพื่อชำระหนี้คืนให้แก่ กยศ. ไปแล้วตั้งแต่เดือนก.ค.61 ที่ผ่านมา และปัจจุบันระบบดังกล่าวก็มีความพร้อมรองรับข้อมูลและการหักเงินเดือนของลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการกว่า 1.6 แสนราย
น.ส.สุทธิรัตน์ กล่าวด้วยว่า กรมบัญชีกลาง และ กยศ. ได้ประสานความร่วมมือกันในการกำหนดแนวทางปฏิบัติ และพัฒนาระบบการจ่ายตรงเงินเดือนให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน มีการหักเงินและจ่ายเงินให้แต่ละคนได้อย่างถูกต้อง นอกจากการดำเนินการเรื่องนี้จะช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติงานของ กยศ. บรรลุวัตถุประสงค์ตามภารกิจที่กำหนดไว้แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กไทยได้ยั่งยืนขึ้น
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า เริ่มหักเงินเดือนลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการที่รับเงินเดือนในระบบของกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีสถานะเป็นลูกหนี้ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องเป็นกลุ่มแรกก่อน หลังจากนั้นจะมีการหักเงินเดือนข้าราชการส่วนอื่นๆ โดยภายในเดือน ม.ค.-ก.พ.61 จะมีการประชุมกับส่วนราชการต่างๆ เพื่อซักซ้อมถึงแผนการดำเนินงานทั้งหมด และทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้สามารถเดินหน้าตามแผนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนกลุ่มลูกหนี้ข้าราชการที่มีสถานะปกติ จะให้มีการชำระหนี้ตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้ใช้วิธีการหักเงินเดือนแต่อย่างใด โดยปัจจุบันมีข้าราชการที่เป็นลูกหนี้ทั้งสิ้น 1.5 แสนราย โดยในส่วนนี้มีประมาณ 6 หมื่นรายเป็นลูกหนี้ที่มีการค้างชำระ
ทั้งนี้ ภายในไตรมาส 4 ปี 2561 จะขยายรูปแบบการหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ไปยังลูกหนี้ภาคเอกชน ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นลูกหนี้กลุ่มใหญ่ จำเป็นต้องมีการชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจ โดยได้มีการประสานความร่วมมือไปยังสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเรียบร้อยที่สุด