นายอรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับ “มติชน” ถึงระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ว่า ต้องแยก 2 ประเด็น 1.ถือเป็นระบบที่ดี เพราะทำให้ทุกคะแนนเสียงเปลี่ยนไปสู่จำนวนที่นั่งได้อย่างเต็มสัดส่วน 2.มีข้อด้อย เพราะบัตรใบเดียวทำให้การตัดสินใจยากขึ้นหากคิดจากตัวเลขอันเป็นคะแนนของการเลือกตั้งที่ผ่านมา เสมือนว่า จะเอื้อพรรคขนาดกลาง กับพรรคเล็กด้วย
แต่ในความเป็นจริงทรัพยากรของพรรคเล็กจะมีพอหรือไม่ ที่ผ่านมาอาจจะคุ้นเคยกับ 70,000 เสียงต่อ 1 ที่นั่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีฐานจากปี 2554 ที่มีคนออกมาใช้สิทธิ 70% หากคนออกไปใช้สิทธิมากกว่านี้ คะแนนเสียงต่อ 1 ที่นั่งก็จะมากขึ้นไปอีก ดังนั้น การจะแก้เกมนี้ของพรรคเล็กจะต้องส่งผู้สมัครลงครบ 350 เขตเลือกตั้งเพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง แต่พรรคขนาดเล็กจะมีทรัพยากรพอหรือ ไม่ ในการส่งผู้สมัครจำนวนมาก
“พรรคที่ได้เปรียบที่สุด คือ พรรคขนาดกลางที่เป็นพรรคเก่า มีฐานเสียงจากเครือข่ายเดิมในพื้นที่ หรือพรรคใหม่ที่มีนักการเมืองหน้าเก่า เพราะมีสิทธิได้คะแนนบัญชีรายชื่อเพิ่ม ส่วนพรรคใหม่ถอดด้ามก็อาจจะเสียเปรียบ ขณะที่พรรคขนาดใหญ่ ก็จะได้เปรียบจากส.ส.แบบเขตอยู่แล้ว กลยุทธ์ของเขาจึงทุ่มไปที่ส.ส.เขตเป็นหลัก แม้จะโอกาสในระบบบัญชีรายชื่อจะน้อยลง แต่ก็แก้เกมนี้ด้วยการแตกพรรคออกไป เพื่อไปเก็บคะแนนในแต่ละเขตเลือกตั้งเพื่อนำไปคิดรวมเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่ออีกทาง” นายอรรถสิทธิ์ กล่าว
นายอรรถสิทธิ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งตามระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่จะเกิดขึ้นครั้งแรก ชัยชนะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย 1.คนจะออกมาใช้สิทธิมากน้อยแค่ไหน กับ 2. เสียงโหวตจะเทไปทางไหน เพราะบัตรใบเดียว ทำให้คนต้องเลือก แต่ก่อนคนยังแทงกั๊ก โดยการเลือกพรรคที่รัก เลือกคนที่ชอบได้ แต่คราวนี้ไม่ใช้ เป็นการตัดสินใจ 3 เรื่องในบัตรใบเดียว นอกจากเลือกคนเลือกพรรคแล้ว ยังจะเลือกนายกฯจากบัญชีพรรคการเมืองด้วย
“ที่ผ่านมาพฤติกรรมการเมืองของคนไทยเดิมๆ หากต้องเลือกเด็ดขาด คนไทยจะตัดสินใจจากฐานคิดที่ว่า ถ้ามีเรื่องเดือนร้อนแล้วจะนึกถึงใคร จึงคิดว่า นี่จะเป็นเหตุผลทำให้คนจะเลือกผู้สมัครที่มีความสัมพันธ์ในพื้นที่มาก่อนพรรค”