พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย และอดีตรองประธาน กสทช.กล่าวถึงการแสดงออกของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะปรากฏการณ์เพลงแร็พ “ประเทศกูมี” ซึ่งมีกระแสวิจารณ์หลายแนวทางว่า มุมมองส่วนตัวไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร และจากยอดการรับชมล่าสุดที่มีมากกว่า 20 ล้านวิว ทั้ง ๆ ที่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์เป็นของตัวเอง แต่ทำไมพวกเขาสามารถสื่อสารกับคนทั้งโลกได้ ตรงนี้คือตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีทำให้เราก้าวไปสู่จุดสำคัญ และไปเกี่ยวข้องกับเรื่องประชาธิปไตย รวมถึงการปกครองบ้านเมือง จึงถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด นี่คือเหตุผลทำให้ตนต้องลงมาทำงานการเมืองด้วย
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของความแตกต่างของ Generation น้อง ๆ พวกนั้นเค้าไม่ได้หมายความว่าเค้ามาด่าหรอก คือมันเป็นวิธีการสื่อสารของเพลงแร็พ ศิลปินในกลุ่มเดียวกันเค้าไม่ถือว่ามันหยาบคาย เหมือนเราสนิทกับเพื่อนเราก็พูดกูมึง เค้าก็พูดแบบนี้มานานแล้วแหละ แต่เราไม่เคยไปดู ถ้าเราไปยุ่งกับเค้า เราก็จะยุ่งไปด้วย อะไรที่เราไม่ยุ่งก็ได้ ก็ไม่ต้องยุ่งก็ได้ใช่ไหมครับ อะไรที่ยุ่งแล้วเกิดประโยชน์ก็ค่อยเข้าไป”
เช่นเดียวกับการทำหน้าที่โฆษกพรรคภูมิใจไทย พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ ระบุว่า การทำหน้าที่โฆษกพรรคการเมืองแต่ไม่พูดเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องแปลก ตนถือคติว่าถ้ามาตอบโต้กันด้วยวาทกรรมแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็จะไม่พูด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พูดเรื่องการเมืองเลย เพราะอันไหนที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมถึงจะพูด
อดีตรองประธาน กสทช. กล่าวด้วยว่า จะนำความรู้ความสามารถทั้งในด้านโทรคมนาคม และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมาใช้กับการทำงาน โดยจะยกระดับให้พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคดิจิทัล อย่างการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์มารองรับกิจการภายใน รวมถึงการผลักดันแนวคิดเบื้องต้นเพื่อปูทางไปสู่นโยบายสาธารณะ เช่น แนวคิดการเรียนออนไลน์แบบต่างประเทศ “Thailand Sharing University” ซึ่งมันทำได้จริง ทำได้เลย และยังมีอีกหลายแนวคิดที่จะสร้างงาน สร้างโอกาสให้กับพี่น้องประชาชน เพราะต้องถือว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมบ้านเราก็พร้อมแล้ว ตนรู้เรื่องนี้ดีที่สุด บุคลากรเราก็พร้อม เพราะตนมีทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่หลายคน จึงเหลือเพียงโอกาสที่พรรคภูมิใจไทยจะได้รับจากประชาชนเพื่อผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ต่อคำถามที่ว่า บริบทการเมืองที่มีความขัดแย้ง จะเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันแนวคิดด้านดิจิทัลหรือไม่ พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า คนในวงการเทคโนโลยี มีความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลง และเข้าใจความแตกต่างระหว่างยุคสมัย ตรงนี้สามารถนำมาปรับใช้ในทางการเมืองได้