นายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวว่าอาจมี “บิ๊กเนม” จากพรรคเพื่อไทยลาออก และย้ายไปอยู่ที่พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ว่า ถ้าถามว่าพรรคเพื่อไทยจะสะเทือนหรือไม่ ตนขอชวนคิดในอีกมุมว่า ไทยรักษาชาติ อาจไม่ใช่พรรคอะไหล่หรือพรรคสำรองเพื่อเก็บ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่อาจจะเป็น “บ้านหลังใหม่” ของเพื่อไทย เพราะตนวิเคราะห์จากคำให้สัมภาษณ์ของอดีต ส.ส.เพื่อไทย ที่ระบุว่า ทษช.เป็นบ้านหลังใหม่ที่ยังสร้างไม่เสร็จ หมายความว่าอาจจะพากันย้ายไปตั้งแต่ยังไม่ถูกยุบ เนื่องจากบ้านหลังเก่ามีคดี คนที่จะเดินหน้าในสนามเลือกตั้งจะได้สะอาด ขณะที่แกนนำคนสำคัญที่ยังอยู่เพื่อไทย ถ้าหากมีการวางยุทธศาสตร์บ้านหลังใหม่เช่นนี้ ก็คงย้ายตามไปในภายหลัง ส่วนกระแสข่าวความไม่ลงรอยกันระหว่างแกนนำนั้น เพื่อไทยอาจเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการแยกกันอยู่คนละพรรค ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน จุดนี้จึงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ “แพแตก” ได้
อย่างไรก็ตาม ตนขอเตือนว่า ฝั่งเพื่อไทยต้องหาพรรคหลักเพียงพรรคเดียว เพราะถ้าเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ แบ่งกันคนละครึ่ง ก็จะเหลือพรรคละ 100 ที่นั่ง ซึ่งอาจต่ำกว่าประชาธิปัตย์หรือพลังประชารัฐ นั่นคือจะเสียความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากไม่ใช่พรรคเบอร์ 1
“จะแตกกันเป็น 4-5 พรรค ไม่เป็นไร แต่อย่าให้สะเทือนความชอบธรรมเบอร์ 1 ผมเชื่อว่าเขาจะวัดกระแสหลังการเปิดตัว ถ้าพรรคไหนกระแสดีกว่าอาจเลือกให้เป็นพรรคหลัก ซึ่งข้อดีของ ทษช.คือ ความสะอาด แต่เพื่อไทยเสี่ยงถูกยุบ จึงต้องรอดูกันต่อไป หรืออาจจะสังเกตจากความเคลื่อนไหวของนายพานทองแท้ หรือคนในตระกูลชินวัตร ก็เป็นไปได้”
นายสติธร ระบุอีกว่า การที่รัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่อยากให้ต่างประเทศมาสังเกตการณ์การเลือกตั้งนั้น มันจะเข้าข่าย “ฮุนเซ็นโมเดล” แบบกัมพูชา ที่เป็นการเลือกตั้งฝ่ายเดียวของรัฐบาล ดังนั้น บ้านเราควรเชิญองค์กรภายนอกมาสังเกตการณ์ด้วยซ้ำ เพราะจะเป็นผลดี สามารถให้เป็นข้ออ้างได้ว่าเราบริสุทธิ์ใจ พร้อมเดินหน้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย ผิดตรงไหนที่จะเชิญต่างชาติมาสังเกตการณ์ เราไม่ได้เชิญเขามาจัดการเลือกตั้งสักหน่อย