“ภูมิใจไทย ทำมากกว่าพูด เราจะทำให้คนไทย เท่าทัน อย่างเท่าเทียม”
คือบทจบประโยคของนายภราดร ปริศนานันทกุล สมาชิกพรรคคนล่าสุดของ “ภูมิใจไทย” เมื่อได้รับโอกาสพูดในงานแสดงวิสัยทัศน์นักการเมือง ในวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การพูดของภราดร ถือเป็นโอกาสแรกที่พูดแทนพรรค ในบรรยากาศที่กดดัน เพราะต้องขึ้นพูดร่วมกับหัวหน้าพรรคการเมือง และอดีตรัฐมนตรีอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประธานทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และหัวหน้าพรรคการเมืองที่ดุดันที่สุด ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งพรรคอนาคตใหม่
ที่ล้วนซับความเป็นพรรคของตนถึงเส้นโลหิต ถือว่ามีแต้มต่อเหนือกว่าภราดรอยู่มาก เพราะก่อนจะถึงวันขึ้นเวที ภราดร เพิ่งสังกัดพรรคภูมิใจไทย ไม่ถึง 2 อาทิตย์ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ภราดร สามารถเอาตัวรอดจากเวทีหฤโหด ด้วยผลงานที่น่าประทับใจ เขาสามารถตรึงคนดู ให้อยู่กับเขาตลอดช่วงเวลาโชว์วิชั่น ก่อนจะเรียกเสียงปรบมือหลังวางไมค์
นักศึกษา ม.เกษตรหลายคนมองหน้าและเอื้อนเอ่ย
“พี่คนนี้คือใคร พูดดีมาก”
ในขณะที่ฝ่ายการเมืองเอง ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ฝีมือไม่ตกลงไปเลย”
หากนับย้อนกลับไปภราดร คือนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่สะกดสภาให้เงียบงันมาหลายครั้งหลายหน เขาไม่เคยกลัวคู่แข่ง แต่ก็ไม่ประมาท การพูดของภราดรสะท้อนการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
โจทย์ของภราดรคือการนำเสนอนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ให้สะกิดใจคนฟัง เขาเริ่มเรื่องด้วยการสะท้อนปัญหาที่ดำเนินอยู่ในประเทศไทย
ความเหลื่อมล้ำ !!!
“ผลสำรวจของโพล ย้อนแย้งกับฝ่ายผู้มีอำนาจที่บอกว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังขยายตัว 3 % 4% เศรษฐกิจดีแต่ทำไมคนบอกว่าไม่มีเงินในกระเป๋า
ตัวเลขในตลาดหลักทรัพย์ ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีกำไรสูงขึ้น 20% แต่ค่าแรงในปี 2554 ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท วันนี้ค่าแรงขั้นต่ำใน กทม. 320 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 20 บาท 7 ปี ค่าแรงงานเพิ่มขึ้นมา 10 % ไม่ต้องพูดถึงภาคการเกษตรที่ รายรับไม่เพิ่มขึ้น”
ภราดร ชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำกำลังกัดกินคนไทย ก่อนจะตบว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำคือการบังคับใช้กฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ
“ประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันการผูกขาด แต่ไม่เคยมีใครได้รับโทษเพราะกฎหมายนี้ ทั้งที่การผูกขาดยังมีให้เห็น”
จากนั้น เขาเสนอแนวทางแก้ปัญหา ในแบบของพรรคภูมิใจไทย “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน”
“การลดอำนาจรัฐ คือกรอบกติกา กฎหมายต่างๆ มันไม่เอื้ออำนวยกับพี่น้องประชาชนในการประกอบสัมมาชีพ เหล่านี้จะต้องดำเนินการแก้ไข หรือกฎหมายเหล่านี้จำเป็นจะต้องตราพระราชบัญญัติออกมาใหม่ เพื่อเอื้อประโยชน์ ไม่ใช่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน แต่ เพื่อสร้างประโยชน์กับประชาชน ทุกคนในประเทศนี้อย่างเท่าเทียม”
ภราดรชูความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่ พร้อมยกตัวอย่าง โยงไปที่ต้นเหตุและทางออก เป็นแนวทางการนำเสนอชั้นเซียน ไร้ข้อตำหนิ
เขาสามารถพาตัวเองขึ้นไปโดดเด่นท่ามกลางนักการเมืองซึ่งมีแสงในตัวอย่างไม่เคอะเขิน และถ่ายทอดนโยบายของพรรคได้อย่างดีเยี่ยม
อย่าลืมว่า นี่คือการพูดครั้งแรก ในนามของพรรคภูมิใจไทย !!!