หน้าแรก Article เปิดใจ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” เผย ยังมีหวัง! พรรคจับมือผลักดันนายกฯในระบบ ถาม ถ้าเลื่อนเลือกตั้ง “พล.อ.ประยุทธ์” จะยืนตรงไหน?

เปิดใจ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” เผย ยังมีหวัง! พรรคจับมือผลักดันนายกฯในระบบ ถาม ถ้าเลื่อนเลือกตั้ง “พล.อ.ประยุทธ์” จะยืนตรงไหน?

0
เปิดใจ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” เผย ยังมีหวัง! พรรคจับมือผลักดันนายกฯในระบบ ถาม ถ้าเลื่อนเลือกตั้ง “พล.อ.ประยุทธ์” จะยืนตรงไหน?
Sharing

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นักการเมืองรุ่นใหญ่ และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์พิเศษ ผ่านแฟนเพจ “ริงไซด์การเมือง” ถึงสถานการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะกระแสข่าวการเลื่อนเลือกตั้งว่า ตอนนี้ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ. 2562 หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่มีการป่าวประกาศและมี พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้องประกาศใช้แล้ว เนื่องจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ล่าสุด เกี่ยวกับการเลื่อนการแบ่งเขตเลือกตั้งและให้พรรคหาผู้สมัครได้จนถึงวันสมัคร  ตรงนี้เป็นสิ่งที่บอกเหตุว่าการเลือกตั้งอาจเลื่อนออกไปอีก

 

 

ค้านเลื่อนเลือกตั้ง

ทั้งนี้ ข้ออ้างเรื่องของพรรคเล็กที่ยังจดทะเบียนไม่เสร็จ ตนไม่แน่ใจว่าจะเป็นสาเหตุหรือไม่ แต่อยากให้มองผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ประเทศต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเพราะเราว่างเว้นจากการเลือกตั้งมานาน ตนอยากให้ประกาศออกมาให้ชัดว่าจะเลือกวันใดกันแน่ หากผู้มีอำนาจต้องการแสดงความมั่นใจจริง ๆ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การปลดล็อก ไม่ใช่แค่ยืนยันด้วยคำพูด เพราะพฤติกรรมมันไม่ใช่ คนเลยไม่มั่นใจ นี่คือผลจากการใช้ ม.44

“ผมยังแปลกใจว่าทำไมทั้ง กกต. รัฐบาลและ คสช.ไม่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงว่า 24 ก.พ. มีเลือกตั้งแน่ ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าพรรคไหนจะทำทันไม่ทัน เพราะทุกพรรคก็รู้โรดแมปอยู่แล้ว”

ส่วนบางคนที่พูดว่าประชาชนเบื่อนักการเมืองนั้น ตนอยากบอกว่า เบื่อนักการเมืองกับเบื่อประชาธิปไตยมันคนละเรื่องกัน แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำได้คนเบื่อนักการเมือง แต่ตนเชื่อว่าคนไม่เบื่อประชาธิปไตย เพราะมันเป็นระบอบที่ทำให้คนมีสิทธิมีเสียง

อย่างไรก็ตาม หากเลื่อนเลือกตั้งจริง สิ่งที่เกิดแน่ ๆ คือ เกียรติยศและหน้าตาของประเทศ เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะเลื่อนจาก 24 ก.พ.2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ท่านพูดเรื่องเลือกตั้งมาไม่น้อยกว่า 4-5 ครั้ง ณ วันนี้ คนก็รู้หมดว่า 24 ก.พ.จะเลือกตั้ง ถามว่าถ้าเลื่อนอีกจุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ตรงไหน โดยเฉพาะต่างประเทศเขาจะมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำที่ไม่มีศักยภาพ

 

เชื่อ “ลูกชาย” เลือก “ภูมิใจไทย” เพื่อให้สังคมและประเทศชาติไปได้

นายสมศักดิ์ ยังเปิดเผยกรณีที่บุตรชายทั้งสอง คือ นายภราดร และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ย้ายออกจากพรรคชาติไทยพัฒนา แล้วไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยว่า ลูก ๆ มีวุฒิภาวะพอ และอยู่ในแวดวงการเมืองมานาน ตนไม่เคยชี้นำ ครอบครัวเราเป็นประชาธิปไตย เราให้สิทธิเสรีภาพลูก ๆ ตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องการเมืองตนเชื่อว่าลูกมีวิธีคิดว่าต้องไม่ใช่การเลือกเพื่อตัวเอง แต่ต้องเลือกเพื่อสังคม ให้ประเทศชาติไปได้ โดยส่วนตัวโดนใจสโลแกน “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” เพราะถ้าอยากให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อำนาจต้องเป็นของประชาชน

นอกจากเรื่องแนวคิดที่ตรงกับภูมิใจไทยแล้ว นายสมศักดิ์ ระบุว่ า เรื่องผู้นำพรรคก็มีผลด้วย ตนยอมรับว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีภาพที่ชัดเจน เช่น มีจิตสาธารณะ มีภาพการขับเครื่องบินไปรับหัวใจ เป็นการช่วยเหลือดูแลผู้คน นายอนุทินทำเรื่องนี้มาตลอด เชื่อว่านี่คือสำนึกที่เป็นแรงบันดาลใจให้ลูก ๆ มองเห็นว่าหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มองผลประโยชน์สังคมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน เป็นแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่

ทั้งนี้ ส่วนตัวรู้จักนายอนุทินมานาน เขาเคารพและฟังเสียงประชาชน เป็นนักการเมืองประชาธิปไตย พยายามเสริมศักดิ์ศรี คุณค่าความเป็นคน อีกทั้ง บ้านเมืองตอนนี้มันเป็นเวลาที่จะให้ทุกฝ่ายมาจับมือกันและเดินไปข้างหน้า  เมื่อเดินออกมาจากพรรคชาติไทยพัฒนา ก็คิดว่าทำอย่างไรบ้านเมืองถึงจะไปได้ ไม่เลือกฝักฝ่าย ก็เหลืออยู่คำตอบเดียวคือแค่พรรคภูมิใจไทย

 

ไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่ต้องเป็นความร่วมมือของทุกฝ่ายเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมือง

ส่วนเรื่องกระแสคนรุ่นใหม่กับอนาคตการเมืองไทยนั้น นายสมศักดิ์ ระบุว่า ไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใหม่เท่านั้นที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง จริงอยู่ที่ฐานเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกมีอยู่กว่า 6.6 ล้านเสียง แต่เราก็ยังเหลือกลุ่มอื่น ๆ  หลายสิบล้านคน การจะมองจุดเปลี่ยนแปลงเราต้องมองภาพรวมทั้งหมดถึงจะชี้ขาดได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ไม่ใช่แค่คนส่วนใดส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับการเปิดตัวของคนหนุ่มสาวในพรรคการเมืองต่าง ๆ  แต่ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นการอาศัยประสบการณ์ของคนรุ่นพี่รุ่นพ่อ

 

เลือกตั้ง 2562 เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย

นายสมศักดิ์ กล่าวถึงการเลือกตั้งครั้งนี้จะถึงนี้กับการเลือกตั้งที่ผ่าน ๆ มาว่า แตกต่างอย่างมาก ทั้งในแง่กฎกติกาและกระบวนการ ในยุครัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้เราเข้าใจคนและเข้าใจพรรค เลยมีบัตร 2 ใบ และมีเบอร์เดียว แต่รัฐธรรมนูญ 2560 วันนี้ มีบัตรใบเดียว เอาทั้งคนและพรรคมารวมกัน ตนมองว่าเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย ทำลายสิทธิเสรีภาพประชาชน ถ้าคนชอบพรรค ก. แต่พรรคนี้ไม่มีกำลังส่ง ส.ส.ครบ 350 เขต ประชาชนก็ไม่มีสิทธิเลือกพรรคที่เขาชอบ

ขณะเดียวกัน ระบบที่พรรคเดียวกันแต่คนละเบอร์ก็มีปัญหา บางอำเภอถูกแบ่งเป็นหลายเขต ผู้สมัครพรรคเดียวกัน อยู่เขตติดกัน แต่กลับได้คนละเบอร์ ประชาชนก็สับสน ยุ่งยาก ฉะนั้น การให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งต้องทำให้สะดวกที่สุด ง่ายที่สุด ระบบที่เรากำลังจะใช้มันทำให้คนเสียโอกาส ส่วนวิธีการคำนวณ ส.ส.ยิ่งแล้วไปใหญ่

นอกจากนี้ ตนยังไม่เห็นด้วยที่แต่ละพรรคการเมืองแสดงความมั่นใจ ออกมาประกาศตัวเลข ส.ส.ที่จะได้ ตนมองว่าเป็นการดูถูกประชาชน เพราะไม่มีใครตอบได้ ไปคิดแทนประชาชนไม่ได้ คุณคิดแบบนั้นสังคมสับสน เราควรมอบอำนาจให้ประชาชนไปคิด นี่คือการตัดสินใจของประชาชน

 

คนจะเลือกนโยบายปากท้อง มาก่อนประชาธิปไตย vs เผด็จการ

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากผลโพลที่ออกมา ประชาชนอยากเลือกตั้งเพราะอยากให้ปากท้องดีขึ้น และอยากให้มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เขาไม่ได้มองว่าทหารจะชนะ หรือฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะ ปัญหาอยู่ที่ทำอย่างไรให้คนล้วงกระเป๋าแล้วมีเงิน ดังนั้น ต้องรีบคืนอำนาจ รีบจัดเลือกตั้งเสีย มันจะช่วยดึงเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ส่วนการใช้วาทกรรมทางการเมืองก็เป็นเรื่องปกติ แต่เหล่านั้นไม่สำคัญเท่ากับปากท้องประชาชน เราต้องเชือดเฉือนด้วยเหตุผลมากกว่าเชือดเฉือนด้วยวาทกรรม

ทั้งนี้ ตนเข้าใจคนที่บอกว่าสนามเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นสมรภูมิระหว่าง 2 ขั้วเท่านั้น เราไม่สามารถชี้ถูกผิดกับคนที่พูดแบบนี้ แต่อย่าลืมว่าบางครั้งประชาชนก็อาจจะเบื่อเต็มทน ก้าวข้ามสิ่งเกล่านี้ไปแล้ว ถามว่าเลือกตั้งด้วยวาทกรรมแล้วประชาชนจะได้อะไร ผลผลิตทางการเกษตรจะได้ไหม การคุ้มครองสิทธิจะดีขึ้นไหม ตนเห็นแต่พรรคภูมิใจไทยที่ไม่ได้หยิบเรื่องวาทกรรมมาพูด พรรคนี้พูดแต่การเมืองที่ไปข้างหน้าเพื่อตอบโจทย์ปัญหาชาวบ้านจริง ๆ

เรื่องนโยบายยอมรับว่าแต่ก่อนสำคัญมาก จะแพ้-ชนะเลือกตั้งก็วัดกันตรงนี้ แต่มาวันนี้มันมียุทธศาสตร์ชาติ เรื่องนโยบายจึงเท่ากันหมด จะต่างกันก็เพียงวิธีการ จะหยิบประเด็นไหนขึ้นมาเล่น แต่ละพรรคต้องนำไปคิดต่อ

 

ชี้ ต่อให้ คสช.มี 250 ส.ว. แต่ถ้าพรรคการเมืองจับมือกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้

สำหรับเรื่องอนาคตการเมืองไทยที่อยากเห็นนั้น นายสมศักดิ์ ระบุว่า อยากเห็นทุกพรรคจับมือกันเดินไปข้างหน้า ยอมรับเสียงประชาชนแล้วร่วมมือกัน แข่งขันกันเต็มที่แล้วยอมรับผล ใช้หลักการสิ่งที่เป็นประโยชน์หนุนเต็มที่ ส่วนสิ่งที่เห็นต่างก็ให้เหตุผลซึ่งกันและกัน เอาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง

ส่วนกลุยทธ์การแตกแบ็งค์พันของพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ มีความเห็นว่า เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดกติกาไม่ให้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ต้องเป็นรัฐบาลผสม เพราะฉะนั้น จุดนี้เองเราต้องจับมือกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดวิกฤติ ต้องก้าวข้ามเรื่องส่วนตัว มาเอาส่วนร่วม เพื่อป้องกันวงจรอุบาทว์

เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกับกฎกติกาถูกออกแบบเสมือนปูพรมให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯอีกสมัย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น แต่ตนมองว่าต่อให้มี ส.ว.250 คน แต่ถ้าพรรคการเมืองก้าวข้ามเรื่องส่วนตัวแล้วจับมือกันเพื่อผลักดันคนในระบบ ตนว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้เปอร์เซ็นต์จะมีน้อยแต่ก็ยังมีความหวัง

“คุณลักษณะนายกฯที่อยากเห็นว่า  ต้องมีหัวใจรักประชาชน ต้องฟังเสียงประชาชน ผู้นำต้องมีลักษณะแบบนี้ ซึ่งตนเห็นด้วยกับนักปราชญ์ที่กล่าวว่า ผู้ปกครองที่ดีต้องปกครองให้เหมือนกับไม่ปกครอง” นายสมศักดิ์ กล่าวในตอนท้าย

 


Sharing

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่