ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา กล่าวถึงสถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขณะนี้ เหมือนการย้อนศรพรรคไทยรักไทยในอดีต เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคไทยรักไทยในยุคก่อตั้งก็เป็นแบบนี้ คือดูดแล้วก็ทำให้ทุกคนไม่มีข้อต่อรอง หากจำไม่ผิดในพรรคมีไม่ต่ำกว่า 10 มุ้ง ตรงนี้จะเป็นบทเรียนให้ฝั่งเพื่อไทยจะต้องยอมรับความจริงเหมือนกัน ที่สำคัญพลังดูดก็แรงไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม ในตอนสุดท้ายอาจเกิดวิกฤติ โดยเฉพาะกรณีของ พปชร.ที่เอาคนที่เคยขัดแย้งทางอุดมการณ์มารวมกันทั้งหมด ทั้งนี้ ในยุคไทยรักไทย วิกฤติส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากปัญหาภายในด้วย เช่น เรื่องการจัดการผลประโยชน์ไม่ลงตัว ผสมกับปัญหาที่คนข้างนอกเป็นผู้สร้างเงื่อนไขด้วย
ผศ.ดร.โอฬาร ระบุอีกว่า ส่วนที่มีการวิเคราะห์จากสื่อมวลชนเรื่องชื่อนายกรัฐมนตรีที่เป็นไปได้ว่าอาจชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะคนกลางที่จะทำให้การเมืองไทยไปต่อได้นั้น ตนมองว่าการเมืองมัน “เป็นไปได้” เสมอ และการวิเคราะห์ดังกล่าวมันยอมรับการมีอยู่ของพรรคขนาดกลาง และยอมรับว่าปัญหาทางการเมืองมันสามารถแก้ได้จากพรรคที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ทำให้เห็นว่านี่คือทางออกประเทศ หรือ “ทางหนีไฟ” นั่นคือถ้าประเทศเกิดวิกฤติจริงๆ พรรค พปชร.แพ้ยับเยิน และพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคภูมิใจไทยก็อาจกลายเป็นทางออกของประเทศในยามบ้านเมืองเกิดปัญหา อีกนัยหนึ่งคือพรรคการเมืองใหญ่อาจจะยอมรับนายอนุทินให้มาเป็นนายกฯ ดีกว่าปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกฯอีก เพราะมันจะขัดกับอุดมการณ์ทางการเมืองของเขา ในขณะที่ตัวเองก็เป็นไม่ได้
“อย่าลืมว่าการเมืองทั้งโลก ไม่มีใครเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะกันจริงๆ เพราะสุดท้ายจะไปจบกันที่การขึ้นโต๊ะเจรจาประนีประนอม การประนีประนอมคือทางออกทางการเมืองที่ดีที่สุด อย่าให้เกิดชัยชนะบนซากปรักหักพัง แต่ควรเป็นชัยชนะที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และประเทศไม่เสียหาย” ผศ.ดร.โอฬาร กล่าว